ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาในสนามลิเบอร์ตี้ สเตเดี้ยม เกมพรีเมียร์ลีกคู่สุดท้ายประจำคืนวันเสาร์ตามเวลาในประเทศไทยทั้งเจ้าบ้านและทีมเยือนต่างมีเดิมพันที่แตกต่าง
สวอนซี เจ้าบ้านในฐานะทีมอันดับ 17 ของตารางเป้าหมายเดียวคือสามแต้มเพื่อความอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก และเมื่อดูจากคู่แข่งท้ายตารางด้วยกันอย่าง สโต๊ค ซิตี้ และ เซาธ์แฮมป์ตัน ต่างเก็บแต้มด้วยกันทั้งคู่ ทำให้พวกเขายิ่งต้องมีอะไรติดมือในเกมนี้ไม่ว่าจะหนึ่งหรือสาม
ในขณะที่ทางฝั่ง เชลซี เองก็ต้องการชัยชนะเพราะกำลังไล่ล่าพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลหน้า จากผลงานที่กำลังเข้าฝักต่อเนื่อง ประกอบกับคู่แข่งอย่าง ลิเวอร์พูล และ สเปอร์ส เริ่มผิดพลาดจนช่องว่างถูกบีบขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีม "หงส์แดง" ที่พัวพันกับยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และดูเหมือนนักเตะจะเทความสำคัญกับบอลยุโรปมากกว่า พลาดเสมอมาสองเกมติดจากแต้มที่ดูห่างเหล่าเดอะ ค็อปก็เริ่มมีเสียวๆเหมือนกัน
อันโตนิโอ คอนเต้ มาในแท็คติคที่แตกต่างและแปลกตากว่าที่ผ่านมาในแนวรุก ซึ่งจากปกติที่เล่นในระบบ 3-4-3 ปรับมาใช้ระบบ 3-5-1-1 โดยยืนพื้นที่ โอลิวิยร์ ชิรูด์ เป็นหน้าเป้า ส่วนตัวเสริมเป็น เอแด็น อาซาร์ ขณะที่ตรงกลางอัดแน่นสามคนทั้ง เชส ฟาเบรกาส, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ ติเอมูเอ้ บากาโยโก้
ส่วนเกมรับ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ยังคงเป็นสำรองเช่นเคย โดยเป็น เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, แกรี่ เคฮิลล์ และ อันโตนิโอ รือดิเกอร์
แต่พอลงสนามจริงๆชัดเจนว่า เชส ฟาเบรกาส เป็นตัวฟรีที่อิสระในการเล่นเกมรุกเต็มที่เพื่อคอยช่วย เอแด็น อาซาร์
ความโชคดีอย่างชัดเจนในเกมนี้คือทีมได้ประตูออกนำอย่างรวดเร็วซึ่งมาจากความผิดพลาดของ แอนดี้ คิง ที่ดันจับบอลลั่นมาเข้าทาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ไหลบอลให้ เอแด็น อาซาร์ กระชากมาหน้าเขตโทษก่อนไหลบอลมาถึง เชส ฟาเบรกาส ที่สอดมาปั่นด้วยซ้ายบอลเสียบใต้คานอย่างสวยงาม
ทุกอย่างเลยดู (เหมือน) ง่ายด้วยศักยภาพที่เหนือกว่าเป็นทุนเดิม การบีบเกมสูงทำให้บรรดาแข้ง สวอนซี เสียบอลค่อนข้างง่าย
แต่ก็นั่นแหละ พอได้ประตูขึ้นนำทีมก็ไม่ได้บีบเกมสูงเหมือนช่วงเริ่มเกม แต่ก็เป็นไปตามเกมมากกว่า อาศัยการแพ็คเกมตั้งแต่กลางสนามลงมาซึ่งมันก็คงต้องเป็นแบบนั้น เพราะในแดนหน้าเมื่อเป็น โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ไม่ใช่ อัลบาโร่ โมราต้า ที่สดกว่า การวิ่งบีบพื้นที่อาจจะกลายเป็นเสียแรงเปล่า
ยิ่งเมื่อมองเกมรุกของ สวอนซี ที่มีสองศรีพี่น้องอย่าง อังเดร และ จอร์แดน อายิว ที่มีความเร็วทีมยิ่งต้องไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง
ต้องยอมรับว่าระบบการเล่นกับรับในนัดนี้ของทีมดู "แน่น" ขึ้นเมื่อมีกองกลางคอยช่วยถึง 3 คน ไม่ต้องพูดถึงว่าศักยภาพของเจ้าถิ่นอาจจะไม่ได้รุนแรงถึงขนาดสร้างความระคายเคืองให้ได้เท่าไรนัก
แต่ถึงกระนั้นเมื่อประตูที่นำห่างอยู่เพียงลูกเดียวยังสร้างความกังวลให้กับแฟนบอลสิงห์บลูส์ที่ตามมาส่งเสียงเชียร์กันแทบตลอดทั้งเกม
ในการขึ้นเกมรุกที่มี เชส ฟาเบรกาส และ เอแด็น อาซาร์ ที่โดดเด่นเหลือเกินในเกมนี้ สร้างความปั่นปว่นให้กับแนวรับ "หงส์ขาว" ได้ไม่น้อย เพียงแต่บ่อยครั้งที่ได้บอลสตาร์ชาวเบลเยี่ยมพยายามที่จะไปด้วยตัวเองมากจนเกินไปจนกระทั่งสุดท้ายโดนรุมกินโต๊ะเสียบอลไปในที่สุด
การประสานงามของทั้ง เชส และ อาซาร์ เล่นชิ่งเข้าขารู้ใจกันดี เซนต์บอลถือว่าทันกันชัดเจน เพียงแต่การเล่นชิ่งเพียงสองคนยากที่จะเจาะเกมรับของ สวอนซี ได้
อย่างที่เห็นกันตลอดในเกมลูกหนัง การใช้จังหวะเล่นชิ่งในเกมรุกเพียงสองคนถือว่าน้อยเกินไป อย่างนอยควรจะมีสามคนขึ้นไป แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเมื่อหน้าเป้าเป็น โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของเทคนิค (แม้จะเพิ่งโชว์ฟอร์มล็อคหลบยิงประตูเหมือน เมสซี่) คงจะหวังพึ่งพาอะไรไม่ได้มาก
นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเกมทางซ้ายจะไม่ค่อยได้รับความไว้วางใจเท่าไรนักเมื่อเป็น เอแมร์ซอน พัลมิเอรี่ ในช่วงสองสามเกมที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าทั้ง เชส และ อาซาร์ มักเลือกหันหน้าเข้ากลางหรือจ่ายออกทางขวามากกว่า น้อยครั้งที่จะให้บอลสตาร์ชาวบราซิลรายนี้
ยิ่งเมื่อเมื่อทางขวาอย่าง วิคเตอร์ โมเสส ต้องเจอกับ มาร์ติน โอลส์สัน ที่มีความเร็วยิ่งทำให้เกมรุกของทีมจากทางริมเส้นกลานเป็นอัมพาต และเมื่อไรลูกเปิดเข้ากลาง หัวหอกฝรั่งเศสก็แทบไม่มีอะไรให้ทำ
หากไม่นับลูกที่ได้ประตูแล้ว ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้ ก็แทบไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยด้วยซ้ำ
พอแนวรุกเริ่มไม่ได้สร้างอันตรายให้กับทีม คาร์ลอส คาร์วัลญาล ก็ยิ่งเปลี่ยนแนวรุกลงมาเสริม ซึ่งมันกดดัน เชลซี ได้ดีทีเดียวและทำให้ ติโบ กูร์กตัวส์ ต้องออกแรงเซฟเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกยากอะไรมากนักก็ตาม
จบเกมด้วยชัยชนะ 1-0 ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของผลการแข่งขัน แต่เมื่อดูจากผลงานโดยรวมแล้วเกมรับอาจจะไม่ใช่ปัญหา แต่เกมรุกต้องถือว่าสอบตกเมื่อมองว่าคู่แข่งคือ สวอนซี แต่ไม่ได้สร้างความกดดันเท่าที่ควร
แต่ถึงกระนั้นเมื่อชัยชนะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเกมฟุตบอลก็ต้องปรบมือชื่นชม อันโตนิโอ คอนเต้ และลูกทีมที่ช่วยกันนำพา เชลซี คว้าชัยมาสามเกมติดแล้ว
แน่นอนว่ามันทำให้ตอนนี้ช่องว่างกับ สเปอร์ส ทีมอันดับ 4 ถูกบีบเหลือเพียงแค่สองแต้มก่อนที่ทัพไก่เดือยทองจะลงสนามกับ วัตฟอร์ด ในเกมมันเดย์ ไนท์
และเมื่อดูจากผลการแข่งขันของ ลิเวอร์พูล ที่เตะไปก่อนหน้าทำได้แค่เสมอกับ สโต๊ค ซิตี้ 0-0 ยิ่งทำให้ความหวังของทัพสิงห์เรืองรองขึ้นมาในทันที
ปัจจุบัน เชลซี มีแต้มตามหลัง ลิเวอร์พูล 6 คะแนน แถมแข่งน้อยกว่าหนึ่งนัด ซึ่งในสัปดาห์หน้าทีมจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ "หงส์แดง" ด้วย หากสามารถเก็บชัยชนะได้พ่วงกับเกมตกค้างจะทำให้ทีมมีคะแนนขึ้นไปเท่ากันในทันทีก่อนที่จะไปวัดกันในเกมสุดท้าย
ถือว่าไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไปแล้วสำหรับพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แถมทีมก็กำลังเล่นด้วยความมั่นใจด้วย
เกมวันอาทิตย์หน้าเป็นเกมชี้ชะตาตัดสินว่าสุดท้ายทีมจะได้ไปเล่นในถ้วยใหญ่ของยุโรปหรือไม่
ตอนนี้แฟนสิงห์ไม่ต้องคิดอะไรมาก หวังว่า ลิเวอร์พูล จะโดน โรม่า ไล่อัดจนน่วมในแชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนที่จะมาวัดกันก็พอ
สัปดาห์นี้ปราบ "หงส์ขาว" สัปดาห์หน้าปราบ "หงส์แดง" ก็โอนะ