แชมป์ครั้งประวัติศาสตร์

ดวงอาทิตย์ส่องแสง, คริกเก็ต กำลังเป็นที่นิยม และการแข่งขันฟุตบอลก็ค่อยๆ ลดความน่าสนใจลง แต่ก็เหมือนเช่นกัน มันไม่ได้เดินหน้าไปอย่างเงียบๆ มันยังคงก้าวอย่างมั่นคง
ผู้สื่อข่าวของ เดอะ ไทม์ส เขียนไว้เมื่อวันที่ 23 เมษายน 1955 ก่อนเริ่มต้นเกมเกมรองสุดท้ายของฤดูกาลว่า "เกมที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ และที่ นิเนียน พาร์ค ใน คาร์ดิฟฟ์ - หาก เชลซี เอาชนะ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ที่ตกชั้นไปแล้ว และ พอร์ทสมัธ (คู่แข่งแย่งแชมป์) ไม่สามารถชนะที่ เวลส์ (เจอ คาร์ดิฟฟ์) ทีมจะฉลองแชมป์แห่ง อังกฤษ ในปีครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งสโมสรพอดี"
เท็ด เดรค ผู้จัดการทีมีส่วนสำคัญอย่างมากในการพา เชลซี มาอยู่ในจุดนี้หลังเข้ามาคุมทีมในปี 1952 เขาก็เริ่มทำการปรับปรุงทีมให้ทันสมัยอย่างเช่นการเลิกใช้ฉายา "เดอะ เพนชันเนอร์ส" มาเป็น "เดอะ บลูส์" แทน และฟื้นฟูทีมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นอกจากนี้เขายังกระตุ้นแฟนบอลให้เป็นอันหนึ่งเดียวกันมากขึ้นด้วย
ก่อนเดินหน้าลงสู่สนามในเกมนี้ เชลซี อยู่ในช่วงที่ผลงานกำลังดีด้วยการแพ้เพียง 3 จาก 24 นัดหลังสุดและทีมของ เท็ด ก็ผสมผสานการเล่นฟุตบอลที่หนักหน่วงตรงไปตรงมาให้เข้ากับจิตวิญญาณของทีม รวมถึงความอดทนอย่าง แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้สวยงามเหมือนที่ผ่านมาแต่ก็ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งและดึงดูดใจแฟนบอลได้
มีการบันทึกสถิติผู้ชมที่สนามโดยเฉลี่ยสูงที่สุดในประเทศ โดยมีแฟนบอลมากกว่า 1 ล้านคนเดินผ่านประตูที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ และในเกมนี้ความคาดหวังของแฟนบอลกว่า 51,000 คน ก็เฝ้ารอจะได้เห็นถ้วยแชมป์ลีกเป็นครั้งแรก
หนังสือโปรแกรมในวันนั้นที่มีราคา 6 เพนนี ยังอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของสโมสร มีรายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งขันในวันดังกล่าวเหมือนอย่างที่เราคุ้นตากัน
เกมนี้ เชลซี ขึ้นนำในช่วงกลางครึ่งแรกเมื่อ เอริค พาร์สันส์ โหม่งลูกเปิดของ แฟร้งค์ บลันสโตน เข้าไป และเมื่อเหลืออีก 20 นาที ปีเตอร์ ซิลเล็ตต์ หนึ่งแข้งคนสาคัญของ เท็ด ยิงจุดโทษให้ทีมขยับห่าง 2-0 ก่อนที่ พาร์สันส์ จะมาปิดท้ายให้ทีมคว้าชัยชนะ
ส่วนในเกมที่ เวลส์ ทาง คาร์ดิฟฟ์ ที่กำลังต้องการแต้มเพื่อหนีตกชั้นเสียประตูให้กับ พอร์ทสมัธ ก่อนแต่ก็มาตามตีเสมอได้ และเมื่อข่าวนี้ไปถึง สแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังสิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลา 15 นาที แฟนบอลก็แห่กันลงมาในสนามเพื่อฉลองกันอย่างบ้าคลั่ง
"ตั้งแต่แฟนบอลที่น้ำตาคลอจากการรอคอยมานานหลายปี ไปจนถึงแฟนบอลรุ่นเยาว์ต่างก็ส่งเสียงเชียร์ให้กับบรรดาผู้เล่นและทีมงานที่อยู่เบื้องหลัง" อัลเบิร์ต ซีเวลล์ นักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของ เดอะ บลูส์ เขียนถึงช่วงเวลาดังกล่าว
ด้วยสนามที่เต็มไปด้วยแฟนบอลที่ฉลองเต็มที่ ไมโครโฟนถูกติดตั้งอย่างรวดเร็วบนอัฒจันทร์ฝั่งตะวันออก - โจ เมียร์ส ประธานสโมสรเป็นคนแรกที่กล่าวขอบคุณทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์สำหรับการสนับสนุนอย่างไร้เงื่อนไน ก่อนจะส่งส่งให้กับ เท็ด เดรค ที่กำลังปลาบปลื้ม
"นี่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตผม ผมขอแสดงความยินดีกับลูกทีมและทีมงานของผมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของออฟฟิศ, การฝึกซ้อมและการลงสนาม ผมเขาเป็นหนึ่งเดียวกับ เชลซี!" เท็ด เดรค กล่าว
ผู้เล่นของทีมนำโดย รอบ เบนท์ลี่ย์ กัปตันทีมและดาวยิงสูงสุด 21 ประตู ได้รับโบนัส 20 ปอนด์หรือชุดสูท สโมสรได้ได้รับมอบเหรียญแชมป์ จอห์น แม็คนิโคล ให้มาเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของสโมสร ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้เล่นชุดนี้ได้รับการจารึกในฐานะตำนานของ เชลซี
เดอะ ไทม์ส รายงานแชมป์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ว่า "50 ปีของการต่อสู้อย่างหนัก ความหวังและความผิดหวัง แนวคิดที่เปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็ได้พบกับความสำเร็จ และมันเกิดขึ้นอย่างมีความสุขในปีทองของ เชลซี"
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT