:::     :::

สิงห์เอาอยู่

วันจันทร์ที่ 07 พฤษภาคม 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
5,558
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ศึกบิ๊ก แม็ตช์ที่มีเดิมพันของฤดูกาลหน้าที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ คือเกมที่น่าสนใจที่สุดเกมหนึ่งของฤดูกาลนี้
เป็นเกมชี้ชะตาของฝั่ง เชลซี ว่าสุดท้ายเป้าหมายโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกจะสำเร็จหรือไม่ ซึ่งนั่นหมายความว่าเกมนี้ทัพสิงห์บลูส์ต้องเก็บชัยชนะให้ได้สถานเดียวเท่านั้น
ยิ่งเมื่ออีกหนึ่งคู่แข่งอย่าง สเปอร์ส พลิกล็อคถล่มโดนทีมท้ายตารางอย่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ทำให้โอกาสไม่ใช่เพียงแค่อันดับสี่แต่ว่ามันหมายถึง เชลซี มีโอกาสถึงขั้นก้าวไปคว้าอันดับสามได้เลย 
จากที่จะเป็นไปไม่ได้มันกลับมาอยู่ในกำมือพวกเขาเหมือนกัน เพียงแต่เกมนี้จำเป็นต้องได้สามแต้มเท่านั้น
นั่นแหละคือความกดดัน
อันโตนิโอ คอนเต้ ยึดระบบเดิมจากเกมล่าสุดที่เอาชนะ สวอนซี 1-0 พร้อมกับได้ มาร์กอส อลอนโซ่ พ้นโทษแบนกลับมาลงสนามอีกครั้ง ติโบต์ กูร์กตัวส์ เฝ้าเสา กองหลังสามคม เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, แกรี่ เคฮิลล์ และ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ โดยมี วิคเตอร์ โมเสส กับ อลอนโซ่ เป็นวิงแบ็คขวา-ซ้าย
ตรงกลาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ คอยตัดเกมร่วมกับ ติเอมูเอ้ บากาโยโก้ โดยให้ เชส ฟาเบรกาส เป็นตัวฟรี เอแด็น อาซาร์ ปั้นเกมรุก ส่วนกองหน้า โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ปักหลักหัวหอกพร้อมสถิติยิงใส่ ลิเวอร์พูล 4 ลูกจาก 5 เกมกลังที่เจอกัน
               
เป็นอีกเกมที่ วิลเลี่ยน เป็นคนที่ต้องเสียสละหลุดไปเป็นสำรองเช่นเคย แต่ก็เรียกได้ว่าทีมสมบูรณ์ทุกขุมกำลังเลยทีเดียว
ในเกมรุกดูมีความหลากหลายมากขึ้นเมื่อมี มาร์กอส อลอนโซ่ ทำให้สามารถทำเกมได้ทั้งซ้าย-ขวาเหมือนที่ผ่านมา
เกมถือว่าสู้กันสนุกและสงครามอยู่ที่แดนกลางชัดเจน สปีดความเร็วของลูกบอลถือว่าอยู่ในระดับความมันที่ไม่อนุญาตให้คลาดสายตาเลยแม่แต่วินาทีเดียว
ทันทีที่ เชลซี ได้บอลทีมพร้อมทะยานไปข้างหน้าไม่ว่าจะบอลสั้นหรือยาว ส่วนทางฝั่ง ลิเวอร์พูล อาจจะมีดึงจังหวะบ้าง แต่เผลอไม่ได้เหมือนกันเพราะความเร็วของแนวรุกหงส์แดงถือว่าติดอันดับต้นๆของโลกไปแล้ว 
โดยเฉพาะโอกาสพังประตูในช่วงต้นเกมของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หรือจังหวะได้กดเต็มข้อหน้ากรอบของ ซาดิโอ มาเน่ แต่ยังถูกปฏิเสธโดย ติโบต์ กูร์กตัวส์ ทำให้เห็นได้ชัดว่าอันตรายจริงๆ
               
ยิ่งเกมบีบเร็วตั้งแต่แดนหน้าตามแบบฉบับของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้ทัพสีน้ำเงินเผชิญความยากลำบากในการเซตเกมรุกขึ้นมา ต้องอาศัยจังหวะโต้กลับที่ยังดูขาดๆเกินๆไปบ้าง
แต่จังหวะจะแจ้งเน้นๆของฝั่งสิงห์บลูส์ก็มาได้ประตู ติเอมูเอ้ บากาโยโก้ เปลี่ยนเกมออกทางขวาให้ วิคเตอร์ โมเสส ลากบอลจี้ใส่ แอนดรูว์ โรเบิร์ต ก่อนแต่งเข้าซ้ายและเปิดบอลแฉลบหัวของ ซาดิโอ มาเน่ ที่ลงมาช่วยบอลเปลี่ยนนิดนึงแต่เป็นดีบอลลอยข้าม เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มาถึง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่อยู่ข้างหน้า เดยัน ลอฟเรน โหม่งสะบัดเสียบเสาสองเข้าไปเป็น 1-0 
               
นี่แหละคือทีเด็ดของหัวหอกฝรั่งเศส ช่วยเพิ่มมิติในเกมรุกของทีมให้หลากหลายทั้งบอลเรียดและบอลโด่ง
เมื่อได้ประตู้ขึ้นนำทีมก็ลงไปจัดระเบียดรัดกุมในเกมรับตามสไตล์ของกุนซื้อชาวอิตาเลี่ยน
โดยเฉพาะอย่าวยิ่งเมื่อเกมในแดนกลางของ ลิเวอร์พูล ไม่มี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ได้พักแล้วดัน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มาเล่นดูลดประสิทธิภาพลงไปพอสมควรเลย
ปัญหาจากการยืนตำแหน่งของเจ้าหนูที่ผลันตัวเองไปเป็นแบ็คขวา เห็นได้ชัดว่าบ่อยครั้งยืนตำแหน่งผิดพลาด แม้ว่าแนวรุกของหงส์แดงจะพุ่งเพียงสามประสาน แต่แดนกลางต้องช่วยเก็บบอลให้ได้เพื่อนเสริมประสาน
แต่เมื่อกลางขาดหาย เกมรุกก็ขาดความต่อเนื่อง ไม่เหมือนที่ผ่านมา
               
ยิ่งเมื่อมาเจอ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วในเกมรับยิ่งเล่นได้อย่างโดดเด่นเหลือเกิน
เช่นเดียวกับ ติเอมูเอ้ บากาโยโก้ ที่ถือว่า 'ผีเข้า' ถูกเวลาในเกมนี้หลังจากที่ผ่านมามักเป็นแพะรับบาปตลอดยามที่ทีมผลงานแย่
แน่นอนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ มองเห็นจุดนี้และก็ตัดสินใจส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงมาเล่นแทน นาธาเนี่ยล ไคลน์ แล้วถอยเจ้าหนูเทรนท์ไปยืนแบ็คขวาตามเดิม
ลิเวอร์พูล ครองเกมบุกเข้าใส่หนักจริงๆ แต่จังหวะส่วนใหญ่มักจะเป็น ‘น้ำ’ มากกว่า ‘เนื้อ’ 
               
สามประสานในแนวรุกแทบจะโดนตัดอแกจากเกมในครึ่งหลัง โดยเฉพาะทาง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่กรำศึกหนักมาตบอดเห็นได้ชัดเลยว่าเล่นไม่ออก
และเมื่อเพื่อนร่วมแดนหน้าอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโน่ มาเน่ เล่นไม่ออกก็พากันลงเหวไปหมด
อันนี้ต้องยกเครดิตให้บรรดาแนวรับของทัพสิงห์ที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
จบเกมกับชัยชนะของ เชลซี ต้องลุกขึ้นปรบมือให้กับทั้ง อันโตนิโอ คอนเต้ และนักเตะทุกคนที่ทุ่มเททำหน้าที่ได้สุดยอดจริงๆ
               
ถ้าจะบอกว่าวันนี้ผู้เล่นทุกคนทำผลงานได้ดีกันหมดก็คงไม่ถือว่าเกินไป
ถึงตอนนี้คงต้องบอกว่าการลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีกจากที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นลุ้นเต็มตัวเลย โดยเฉพาะหากทีมเก็บชัยชนะเกมตกค้างกับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ได้ในกลางสัปดาห์นี้ คะแนนก็จะขึ้นไปเทียบกับ ลิเวอร์พูล ทันทีแม้ว่าผลต่างประตูได้-เสียจะเป็นรองอยู่
ซึ่งเกมสุดท้ายกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด จะได้ลุ้นกันอย่างเต็มที่กันไปเลย ขณะที่ สเปอร์ส ที่มีเกมตกค้างเช่นกันจะเล่นในรังเจอ นิวคาสเซิ่ล ก่อนปิดฤดูกาลกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ปิดท้ายเกมในบ้านกับ ไบรท์ตัน
แม้ดูจากเส้นทางแล้วดูคู่แข่งทั้ง 'หงส์' และ 'ไก่' จะเจองานค่อนข้างเบาแถมอยู่ได้เล่นในบ้าน แต่จุดนี้แล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้หมด
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว จะลุ้นทั้งทีก็ลุ้นอันดับ 3 ไปเลยละกัน


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด