เกมสุดท้ายของฤดูกาลพร้อมกับความหวังอันน้อยนิดที่จะเบียดลุ้นอันดับ 4 ไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลหน้า ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของทีมใหญ่อย่าวง เชลซี ตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูกาล
แน่นอนว่าคงไม่มีใครคิดว่าทีมแชมป์เก่าจะต้องกระเสือกกระสนมาจนถึงเกมสุดท้ายแบบนี้กับแค่การไปเล่นถ้วยใหญ่ของยุโรป
เป้าหมายอย่างเดียวคือเก็บชัยชนะให้ได้ พร้อมกับแช่งให้ ลิเวอร์พูล แพ้คารังในการพบกับ ไบรท์ตัน แม้ว่าจะดูเลือนลางไปหน่อยเมื่อดูจากสถิติที่ทีม 'หงส์แดง' ยังไม่แพ้ใครในบ้านซีซั่นนี้เลย
แต่เอาน่า ยังดีกว่านั่งดูเกมแบบให้มันผ่านไปเท่านั้น
เกมนี้ในตำแหน่งผู้รักษาประตูที่ก่อนหน้านี้กังวลกันว่า ติโบต์ กูร์กตัวส์ จะมีปัญหากระทั่งมีโอกาสในการพลาดเกมรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในสัปดาห์หน้า ได้ลงเล่นตั้งแต่นัดนี้อย่างเซอร์ไพรส์ ถือว่าเป็นการเรียกจังหวะของตัวเองก่อนละกัน
กองหลังพัก อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ให้ อันเดรียส คริสเตนเซ่น กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งร่วมกับ แกรี่ เคฮิลล์ และ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า
แดนกลางทางฝั่งซ้ายพัก มาร์กอส อลอนโซ่ ให้ เอแมร์ซอน ทำหน้าที่แทน ขณะที่ตรงกลาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ประจำการกับ ติเอมูเอ้ บากาโยโก้ และทางขวา วิคเตอร์ โมเสส
ในแนวรุกเกมถือว่าเซอร์ไพรส์อีกเช่นกันเมื่อ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ได้ลงทำหน้าที่ร่วมกับ เอแด็น อาซาร์ ส่วนกองหน้า โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงเป็นตัวเป้า
อย่างน้อยการที่ได้อดีตกองกลางเอฟเวอร์ตันลงเล่นน่าจะทำให้ได้เห็นฟอร์มกันบ้างเผื่อเป็นตัวเลือกสำหรับเกมชิงถ้วยสัปดาห์หน้า เพราะในซีซั้นนี้ตัวสำรองในทีมต้องบอกว่าไม่ได้มีประโยชน์กับทีมสักเท่าไรยามเปลี่ยนลงมา
และเช่นเคยเป็นอีกครั้งที่ วิลเลี่ยน หลุดไปเป็นสำรอง หลังจากที่นัดก่อนหน้าที่เสมอ ฮัดเดอร์สฟิลด์ 1-1 ทำผลงานชนิดที่เรียกว่า 'ห่วยแตก'
ถือว่าเป็นการจัดทีมที่ อันโตนิโอ คอนเต้ เองก็เลือกพักนักเตะบางรายเพื่อความสดสำหรับบู๊กับทัพปีศาจแดง
ความหวังในการคว้าชัยอาจจะดูมีความเป็นไปได้เมื่อ นิวคาสเซิ่ล แพ้มารวด 4 เกมนับตั้งแต่การันตีอยู่รอดไล่ตั้งแต่ เอฟเวอร์ตัน (0-1), เวสต์บรอมวิช (0-1), วัตฟอร์ด (1-2) และ สเปอร์ส (0-1)
ความพิเศษอีกอย่างในเกมนี้คือการที่ เชลซี สวมชุดแข่งใหม่ที่จะใช้ทำศึกในฤดูกาลหน้าให้แฟนๆได้ยลโฉมกัน เหมือนกับหลายสโมสร
แต่เกมทุกอย่างเหมือนเดิม การขึ้นเกมไม่มีรูปแบบอะไรแปลกใหม่ อย่างเดียวก็อย่างที่เคยบอกและบอกมาตลอดว่ายามที่เกมรุกฝั่งซ้ายไม่ใช่ มาร์กอส อลอนโซ่ เกมมักจะเทมาทางฝั่งขวาซะหมด ซึ่งถ้าปีกไนจีเรียเปิดบอลไม่ได้ก็แทบไม่มีอะไร
ยิ่งเป็นแบบนั้นยื่งไม่มีอะไรให้ลุ้น เพียงแค่จับ เอแด็น อาซาร์ คนเดียว เกมรุกของ เชลซี ก็แทบเป็นอัมพาตแล้ว
ติโบต์ กูร์กตัวส์ ลงมาเพื่อเรียกความฟิตแต่กลับเป็นคนที่ทำงานหนักมากกว่าใครเพื่อนจากเกมรุกที่โดน นิวคาสเซิ่ล ที่ได้ลุ้นอยู่ข้างเดียวกระทั่งมาเจาะประตูสำเร็จ
แม็ตต์ ริทชี่ วตักบอลลึกเข้าเขตโทษ ยาค็อบ เมอร์ฟี่ โฉบมายิงตัดหน้า ติโบต์ กูร์กตัวส์ บอลลอยกำลังจะเข้าประตูมือกาวเบลเยี่ยมพุ่งสุดตัวปัดออกมาแต่ไม่พ้นอันตราย ดไวท์ เกย์ล ปราดเข้าไปโหม่งซ้ำตุงตาข่าย
นอกจากเกมแย่แล้วยังมาเสียประตู ทุุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และหลายจังหวะมันก็ไม่เป็นใจให้ทีมด้วย
นอกจากผู้รักษาประตูที่ทำงานอย่างหนัก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เป็นอีกคนที่พยายามวิ่งไล่บอลทุกจังหวะ แต่ดูเหมือนสูญเปล่าเมื่อเพื่อดูจะไม่เต็มที่เท่าที่ควร
บทสรุปในครึ่งแรกไม่ต้องถามถึงจังหวะยิงเข้ากรอบ แค่จังหวะสับไกยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเหลือบไปดูผล ลิเวอร์พูล ที่นำ ไบรท์ตัน สบายๆ 2-0 เมื่อจบครึ่งแรกต้องบอกว่าการลุ้นพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกของทีม 'จบแล้ว'
โอกาสลุ้นครึ่งแรกในครึ่งหลังของ เชลซี เกือบตีเสมอได้ รอสส์ บาร์คลี่ย์ เปิดบอลจากทางขวาเข้าเขตโทษ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ดีดด้วยซ้ายแต่ มาร์ติน ดูบราฟก้า บินปัดออกหลังได้สวย
แต่เล่นไปเล่นแม้มาครองบอลได้ดีกว่าแต่จิตใจของนักเตะลอยไปถึงเกมที่เวมบลีย์ในสัปดาห์หน้าแล้ว
กระทั่งเกือบหนึ่งชั่วโมงทีมก็มาสังเวยประตูเพิ่ม จอนโจ เชลวี่ย์ ยิงไกลบอลเหมือนไม่มีอะไรแต่มันมาเข้าทาง อาโยเซ่ เปเรซ สะกิดนิดเดียวบอลเปลี่ยนทางเข้าประตูชนิดที่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ได้แต่ใช้ตามอง
เชลซี เล่นแบบไม่มีอะไรจะเสีย ขณะที่ นิวคาสเซิ่ล ก็พร้อมลุยเพื่อเอาใจแฟนบอล เกมเลยเปิดมากขึ้น 'สิงห์บลูส์' เองก็เกือบตีไข่แตกได้จังหวะโต้กลับ รอสส์ บาร์คลี่ย์ กระชากบอลจากกลางสนามขึ้นมาก่อนไหลออกจากทางขวาให้ เอแด็น อาซาร์ หักกลับเข้ากลางมาถึง บาร์คลี่ย์ ยิงจ่อๆแต่ติดขา มาร์ติน ดูบราฟก้า อีกแล้ว
แต่แค่นาทีเดียวให้หลังเป็นทัพสาลิกาดงมาได้ลูกที่สามจากฟรีคิกทางกราบขวา จอนโจ เชลวี่ย์ เปิดยาวไปเสาสอง ฟลอริย็อง เลอเฌิน สอดมาคนเดียวเปิดเข้ากลาง อาโยเซ่ เปเรซ เจ้าเก่าชาร์จจ่อๆเป็น 3-0
การครองบอลเหนือกว่าอย่างชัดเจนในครึ่งหลังไม่มีประโยชน์เมื่อไม่อาจที่เปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้ จังหวะยิงเข้ากรอบสองครั้งเท่ากันแต่เป้นฝั่งเจ้าถิ่นที่ได้สองลูกทิ้งห่างออกไป ส่วนทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ ทำได้แค่เสียว
เอแด็น อาซาร์ พอไม่มีเพื่อนมาเล่นด้วย จะให้ไปคนเดียวก็ไม่ไหว จังหวะไปกับบอลโดนรุมตลอด จนช่วง 15 นาทีสุดท้ายต้องเปลี่ยนเอา วิลเลี่ยน กับ อัลบาโร่ โมราต้า มาเพิ่มความสดโดยเอา รอสส์ บาร์คลี่ย์ กับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ออก
แต่ก็เหมือนกับเกมที่ผ่านมา ตัวที่ลงมาก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพราะทรัพยากรในทีมมีเพียงเท่านี้ หรือกระทั่งคนสุดท้ายอย่าง เปโดร โรดริเกซ ก็เป็นไปตามคาดและถอด เอแด็น อาซาร์ มาพัก
นักเตะ นิวคาสเซิ่ล กล้าบู๊มากกว่า ส่วน เชลซี กลัวว่าจะเจอสกัดหนักและบาดเจ็บ ยิ่งมีทัวร์นาเม้นต์ใหญ่อย่างฟุตบอลโลกรออยู่ บรรดาาแข้งทีมชาติยิ่งไม่เสี่ยง
นักเตะ นิวคาสเซิ่ล ทุ่มเทเต็มร้อย สู้ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น แต่ เชลซี เหมือนรู้สภาพว่าลุ้นอันดับสี่คงยาก แถมใจบางส่วนคงหลุดลอยไปอยู่ที่เอฟเอ คัพรอบชิงชนะเลิศ
เกมที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค จบลงด้วยความพ่ายแพ้อันย่อยยับของ เชลซี แต่ถ้ามองอีกมุมก็ไม่ได้เสียหายอะไร แถมแฟนๆสิงห์บลูส์ควรจะลุกขึ้นปรบมือให้กับนักเตะที่ทุ่มเทจากที่ไม่ได้ลุ้นอยู่แล้วกลับมาให้ได้กระชุ่มกระชวยกันบ้างในช่วงท้าย
แชมป์เก่าพกความพ่ายแพ้กลับลอนดอน แต่งานยังไม่จบเพราะยังมีเกมชิงถ้วยเอฟเอ คัพรออยู่
โทรฟี่นี้น่าจะพอบรรเทาความผิดหวังในฤดูกาลนี้ได้บ้าง หลังจากที่ต้องชวดไปเล่นถ้วยใหญ่ของยุโรปในซีซั่นหน้า
แต่หากลงเอยด้วยความปราชัย คงต้องบอกว่า เชลซี ล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ