ยูเครนทำได้เปิดรังหักเขากระทิง1-0

ยูเครน ที่เพิ่งพ่ายต่อ เยอรมัน 1-2 ยังได้เล่นในบ้านพบกับ สเปน ที่นัดล่าสุดเฉือนชนะสวิตเซอร์แลนด์มาได้ 1-0 โดยนัดนี้ ยูเครน ขาดผู้เล่นไปหลายคนเพราะเจ็บและติดโควิด ส่วน สเปน ยังเป็นแกนหลักจากนัดล่าสุด แนวรุกส่ง อดาม่า ตราโอเร่ เป็นตัวจริงร่วมกับ โรดริโก้ โมเรโน่ และ อันซู ฟาติ

เริ่มเกมมาในช่วง 15 นาทีแรก สเปน มีโอกาสลุ้นถึง 2 หนเริ่มจาก เฆซุส นาบาส เปิดบอลให้  โรดริโก้ โมเรโน่ ได้โขกในเขตโทษแต่ติดเซฟของ จอร์จี้ บุชชาน ต่อด้วย เซร์คิโอ กานาเลส จ่ายให้ อันซู ฟาติ ดาวรุ่งจาก บาร์เซโลน่า ซัดด้วยซ้าย แต่ก็ยังไม่ผ่านมือ บุชชาน

โอกาสยังเป็นของสเปน นาที 22 เซร์คิโอ กานาเลส  เปิดบอลให้ เซร์คิโอ รามอส เติมเกมุรกขึ้นมาโขก แต่ส่งบอลหลุดกรอบออกหลังไป

อีก 3 นาทีถัดมา ยูเครน มีโอกาสบ้างจากจังหวะที่ อังเดร ยาร์โมเลนโก้ เปิดบอลโด่งให้ วิตาลี มิโคเลนโก้ สอดมาโขกในเขตโทษ แต่ก็ไม่สามารถบังคับบอลเข้ากรอบได้  

ท้ายครึ่งแรก สเปน ได้ลุ้นอีกจากการลองส่องไกลของ มิเกล เมริโน่ บอลพุ่งเข้ากรอบแต่  จอร์จี้ บุชชาน ไม่พลาด เซฟช่วยเจ้าถิ่นเอาไว้ ทำให้จบครึ่งแรกที่สกอร์ 0-0

ครึ่งหลังนาที 52 สเปน ยังเป็นฝ่ายหาโอกาสได้เหมือนเดิมจากจังหวะที่ อันซู ฟาติ เปิดบอลโค้งให้  โรดริโก้ โมเรโน่  ได้โหม่งในเขตโทษ แต่บอลลอยโด่งข้ามคานออกหลังไปอีก

จากนั้นนาที 64 สเปน น่าจะนำสุดๆ อีกครั้ง จากการยิงของ  โรดริโก้ โมเรโน่ แต่บอลก็พุ่งชนเสาอย่างน่าเสียดายทั้งที่ บุชชาน ไปไม่ทันแล้ว

แต่แล้วนาที 76 กลับเป็น ยูเครน ที่ได้ประตูพลิกนำ 1-0 จากการเปิดบอลยาวของ จอร์จี้ บุชชาน ที่ไปถึง อังเดร ยาร์โมเลนโก้ ได้ป้ายต่อให้ วิคเตอร์ ซีกานคอฟ แตะต่อถึงเขตโทษก่อนซัดผ่านมือ ดาบิด เด เคอา เข้าไปอย่างเด็ดขาด

ช่วงเวลาที่เหลือ สเปน โหมรุกอย่างหนักแต่ไม่สามารถตามตีเสมอได้ทำให้จบเกม ยูเครน พลิกล็อกเอาชนะทัพกระทิงดุไป 1-0

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม 

ยูเครน: จอร์จี้ บุชชาน - โอเล็กซานเดอร์ คาราวาเยฟ, อิลิย่า ซาบาร์นยี่, วิตาลี่ มีโคเลนโก้, เอดูอาร์ด โซโบล - เซอร์เก ซีดอร์ชุค, เยฟเกนี่ มาคาเรนโก้ - อังเดร ยาร์โมเลนโก้, มิโคล่า ชาปาเรนโก้, โอเล็กซานเดอร์ ซุบคอฟ - โรมัน ยาเรมชุค   

สเปน : ดาบิด เด เคอา - เฆซุส นาบาส, เซร์คิโอ รามอส, เปา ตอร์เรส, เซร์คิโอ เรกีลอน - เซร์คิโอ กานาเลส, โรดรี้, มิเกล เมริโน่ - อดาม่า ตราโอเร่, โรดริโก้ โมเรโน่, อันซู ฟาติ  ผู้ตัดสิน : พาเวล กิล (โปแลนด์)