เอเอฟเอฟหรือสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน จัดงานแถลงข่าวก่อนการแข่งขันฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 รอบชิงชนะเลิศ เลกแรก คู่ระหว่าง ทีมชาติไทย กับ ทีมชาติอินโดนีเซีย
ในรอบรองชนะเลิศ ทีมชาติไทย เอาชนะเวียดนามมาด้วยสกอร์รวม 2-0 ส่วน อินโดนีเซีย ชนะ สิงคโปร์ มาด้วยสกอร์รวม 5-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
การแถลงข่าวครั้งนี้ ทีมชาติไทยส่ง มาโน โพลกิง หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลชายทีมชาติไทย เข้าร่วมการแถลงข่าว
ภายในงานแถลงข่าว มาโน โพลกิง กล่าวว่า "เรารู้ถึงสถิติของอินโดนีเซียเป็นอย่างดี และพวกเขาเข้าใกล้แชมป์มาหลายครั้ง แต่ไม่ว่าใครเวลาเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศต้องหวังถึงแชมป์อยู่แล้ว อินโดนีเซียเป็นทีมที่ดีแล้วได้พักมามากกว่าเรา 1 วัน แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับทีมชาติไทย เราจะวิเคราะห์การเล่น หาแผนการเล่น และเลือกผู้เล่นที่ดีที่สุดลงสนามในเกมนี้ ไม่ต้องไปคิดถึงสถิติให้มากนัก เพราะทั้งสองทีมควรมาอยู่ในจุดนี้ทั้งคู่ และทีมไทยจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเป็นแชมป์ให้ได้"
"ตอนนี้ผมคิดว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องของการเป็นเบอร์ 1 อาเซียน ทีมไทยยังคงมีเป้าหมายในการคว้าแชมป์กลับบ้านให้ได้ ยังเหลือเกมที่ยากอีก 2 เกมรออยู่และเราจะต้องมีสมาธิกับตรงนั้น"
"อินโดนีเซียนั้นเป็นทีมที่สามารถเล่นได้หลากหลายรูปแบบ อย่างเกมกับเวียดนามพวกเขาสามารถเล่นเกมรับได้อย่างดีและเก็บผลเสมอ 0-0 มาได้ ขณะที่เกมอื่นๆ พวกเขาแสดงให้เห็นว่ามีเกมรุกที่อันตราย ดังนั้นทีมไทยจะต้องเตรียมพร้อมรับมือและวางแผนให้ดี แน่นอนว่าตอนนี้มันกลับมาเป็นเกม 180 นาที ที่ทุกอย่างเท่ากันที่ 0-0 อีกครั้ง ไทยจะต้องเริ่มต้นให้ดีเหมือนเกมเจอกับเวียดนาม เพราะมันจะช่วยให้วางแผนในการเล่นนัดที่สองได้ดี"
"ตลอด 6 นัดที่ผ่านมาทีมชาติไทยเป็นฝ่ายที่ครองบอลได้มากกว่าทุกนัด และการครองบอลคือจุดแข็งของทีมอยู่แล้ว คิดว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร บางทีโค้ชชาวเกาหลีใต้อาจจะไปมองบางช่วงของเกมที่เจอกับเวียดนามและเข้าใจผิดมากกว่า"
"น่าเสียดายสำหรับ ฉัตรชัย บุตรพรม ที่ได้รับบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้า ซึ่ง ฉัตรชัย เป็นบุคคลสำคัญของทีมที่ช่วยให้ทีมผ่านมาถึงรอบชิงชนะเลิศและเจ้าตัวอยากลงเล่นทั้งสองเกมเช่นกัน ขณะที่ ธีราทร คือนักเตะที่มีประสบการณ์สูงที่สุดในทีมคนหนึ่งและเป็นผู้เล่นคุณภาพ อย่างไรก็ตามเราจะไม่มีธีราทรเพียงแค่ 90 นาทีแรกเท่านั้น นับเป็นเรื่องดีที่จะได้ความสดของ ธีราทร กลับมาในเกมที่สองด้วย ส่วนเรื่องตัวแทนทีมชาติไทยนั้นมีคุณภาพผู้เล่นบนม้านั่งสำรองที่ดีอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่มีปัญหาอะไร
"เรื่องสนามแข่งแน่นอนว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะเล่นกันมาหลายนัดมากแล้ว แต่ในเมื่อเขา (ชิน แต ยอง) บอกว่าทีมเราครองบอลได้ไม่ดี ดังนั้นที่สนามไม่ดีก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเราอยู่แล้ว"
"สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดในทีมอินโดนีเซียคือแนวทางการเล่นของพวกเขา เป็นทีมที่อายุน้อยและทำงานกันหนักทั้งทีม ส่วนตัวโค้ชก็มีประสบการณ์อย่างมาก แต่ทีมชาติไทยก็จะมองที่ทีมตัวเองเท่านั้น มันเป็น 2 เกมที่ยาก แต่จะทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อนำถ้วยแชมป์กลับบ้านให้ได้
สำหรับทีมชาติไทย จะพบกับ ทีมชาติอินโดนีเซีย ใน รอบชิงชนะเลิศของศึกชิงแชมป์อาเซียน 2020 โดยจะแข่งขันสองนัดในวันที่ 29 ธันวาคม 2564 และ 1 มกราคม 2565 ถ่ายทอดสดทางช่อง 7 HD และ AIS Play