กุนซือบางกอกกล๊าส เอฟซี ชี้โควตาอาเซียนถือเป็นเรื่องดีหากตอบโจทย์ในเรื่องการตลาดของสโมสรที่อยู่ละแวกใกล้ฐานแฟนบอลเพื่อนบ้าน แต่หวั่นทีมที่มีเงินจะใช้เป็นช่องโหว่ในการดึงนักเตะลูกครึ่งหรือแข้งโอนสัญชาติ จนทำให้นักเตะไทยไม่เหลือเวทีให้พัฒนา แนะตั้งเพดานค่าเหนื่อย และใช้กฎไฟแนลเชียล แฟร์เพลย์ คุมตลาดนักเตะเพื่อให้ทีมใหญ่และทีมเล็กมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบน้อยลง และเป็นการป้องกันภาวะฟองสบู่แตกอีกด้วย
"โค้ชจุ่น" อนุรักษ์ ศรีเกิด กุนซือ "กระต่ายแก้ว" แสดงความคิดเห็นถึงนโยบายที่ไทยลีกจะเพิ่มโควตาอาเซียนอีก 3 คนในฤดูกาล 2019 ไม่รวมโควตาต่างชาติและเอเชีย 3+1 ทำให้บางสโมสรอาจมีนักเตะไทยลงสนามเพียงแค่ 4 คนต่อเกมเท่านั้น
โดยเรื่องนี้ "โค้ชจุ่น"มองว่าสโมสรที่มีละแวกที่ตั้งอยู่ใกล้ประเทศเพื่อนบ้าน หรือมีแรงงานต่างด้าวมาอยู่อาศัยอาจจะใช้โควตานี้เพื่อสร้างฐานแฟนบอลใหม่ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหานักเตะอาเซียนแท้ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องผลงานและการตลาดเหมือนอย่างที่ โปลิศ เทโร ได้จาก อ่อง ตู ดาวเตะเมียนมา
นอกจากนี้กุนซือวัย 43 ปียังมองว่าทีมที่มีกำลังเงินมากกว่าอาจจะไปทุ่มซื้อนักเตะลูกครึ่งอาเซียน หรือแข้งโอนสัญชาติมาใช้งานโดยมอบค่าเหนื่อยมหาศาลให้ ในขณะที่ทีมเล็กๆ ไม่สามารถทำได้ ซึ่งจะไม่เป็นไปตามความต้องการที่แท้จริงในการพัฒนาเรตติ้งของไทยลีก
ดังนั้นจึงเสนอให้แต่ละสโมสรตั้งเพดานค่าเหนื่อยให้ชัดเจน รวมถึงไทยลีกควรใช้กฎไฟแนลเชียล แฟร์เพลย์ เหมือนที่ยูฟ่า ประกาศใช้ในลีกยุโรป เพื่อควบคุมตลาดนักเตะในการซื้อและขายผู้เล่นให้ตัวเลขสัมพันธ์กัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความแตกต่างระหว่างทีมที่ร่ำรวยกับทีมท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น และวันหนึ่งอาจจะเกิดภาวะฟองสบู่แตกจนสโมสรต่างๆ พากันยุติการทำทีมเป็นจำนวนมากในอนาคต
