TOYOTA Thai League Player Of The Week ประจำสัปดาห์ที่ 8
11 ผู้เล่นยอดเยี่ยม ศึกโตโยต้า ไทยลีก 2019 ประจำสัปดาห์ที่ 8
แผนการเล่น : 4-5-1
ประตู : ทศพร ศรีเรือง (ตราด เอฟซี)
ก่อนเกมมีน้อยคนมากที่จะคิดว่า "ช้างขาวเจ้าเกาะ" จะมีแต้มออกจากถิ่นช้าง อารีน่า ของ บุรีรัมย์ แต่ "เอ้" ทศพร แสดงให้เห็นถึงคลาสของนายประตูระดับชั้นนำของเมืองไทยด้วยการโชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟลูกยากๆ เป็นว่าเล่น ลูกที่เสียไปหนึ่งประตูนั้นสุดปัญญาที่จะป้องกัน แต่โดยรวมก็ถือว่าเพียงพอแล้วที่จะถูกยกให้เป็นนายด่านยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์นี้
กองหลัง : ณัฐพงษ์ สมณะ (สุพรรณบุรี เอฟซี)
แบ็คซ้ายจอมเก๋าวัย 34 ปี มีส่วนร่วมกับ ประตูแรกที่ทำให้ "ช้างศึกยุทธหัตถี" พลิกจากตามหลังกลับมาคว้า 3 คะแนนได้สำเร็จในครึ่งหลัง ลูกแรกมาจากการพุ่งโอเวอร์แล็ปถึงสุดเส้นก่อนครอสเข้าศีรษะของ มาร์ค ฮาร์ทมันน์ อย่างเหมาะเหม็ง และลูกที่สองก็เป็นคนเตะมุมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่ เคลตัน ซิลวา จะทำประตูได้
กองหลัง : ไบฮักกี้ ไคซาน (ตราด เอฟซี)
ปราการหลังจอมเก๋าทีมชาติสิงคโปร์ ถูกผู้บรรยายขานชื่อบ่อยมาก เพราะครั้งแล้วครั้งเล่าที่สกัดกั้นบอลออกมาจากเขตอันตรายไม่ว่าจะลูกโด่งหรือภาคพื้นดิน รวมถึงมีจังหวะบล็อกลูกยิงของ เปโดร ที่เกือบเป็นประตู ถือเป็นคีย์แมนอีกหนึ่งคนที่ช่วยทำให้ ตราด คว้า 1 แต้มจากทีม "ปราสาทสายฟ้า" ได้
กองหลัง : เอเลียส ดอเลาะห์ (การท่าเรือ เอฟซี)
ปราการหลังลูกครึ่งไทย-สวีเดน กำลังท็อปฟอร์มอย่างมากในช่วงนี้ เกมนี้ได้รับมอบหมายให้คอยตามประกบ ธีรศิลป์ แดงดา ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้ดีตลอดทั้งเกม ทำให้ศูนย์หน้าสตาร์หมายเลขหนึ่งของไทยเล่นไม่ถนัด โดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่ถูกเซนเตอร์เจ้าของความสูง 196 ซม. เก็บกินได้หมด
กองหลัง : ปริญญา อู่ตะเภา (ชัยนาท ฮอร์นบิล)
"กัปตันปิ่น" เล่นได้โดดเด่นเข้าตาต่อเนื่องอีกนัด เกมนี้รับบทบาทคอยตามประกบ เนลสัน โบนีญ่า เกมนี้มีแบทเทิ่ลช็อตระหว่างทั้งสองคนให้เห็นหลายครั้ง และส่วนใหญ่ก็เป็น ปริญญา ที่ใช้สไตล์กัดไม่ปล่อยคอยขัดขวางจน "โบนี่" ออกอาการหัวเสียครั้งแล้วครั้งเล่า คาร์แร็คเตอร์ผู้ำนำที่แสดงออกมาของกองหลังวัย 31 ปีคอยกระตุ้่นเพื่อนร่วมทีมให้มีสมาธิได้คงเส้นคงวาทั้งเกม
กองกลาง: บดินทร์ ผาลา (การท่าเรือ เอฟซี)
ฟอร์มขึ้นหิ้งไปแล้วสำหรับ "สิงห์เจ้าท่า" ในตอนนี้ หนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดและเป็นคนเปลี่ยนเกมได้็ก็คือ "โดมมาเรีย" ที่สับไกระยะเกือบ 30 หลาเป็นประตูปลดล็อคให้ท่าเรือก่อน และในเกมปีกซ้ายวัยย่าง 25 ปีก็โชว์ลีลากระชากลากเลื้อยต่อหน้าสตาฟฟ์โค้ชทีมชาติไทยที่เข้ามาดูที่เอสซีจี สเตเดี้ยมได้อย่างเข้าตาดีเหลือเกิน
กองกลาง : สุมัญญา ปุริสาย (การท่าเรือ เอฟซี)
การพ้นโทษแบนกลับมาของ "ตั๊ก" ทำให้ การท่าเรือ มีมิติในเกมรุกเพิ่มขึ้นมาก เพราะการเคลื่อนที่ยามไม่มีบอล รวมถึงทักษะการครองบอลและผ่านบอลสร้างประโยชน์ให้กับทีม เกมนี้โชว์ความใจกว้างเป็นแม่น้ำแอสซิสต์ให้ นิติพงษ์ ยิงจ่อๆ ทั้งที่จะยิงเองก็ได้ จน "โค้ชโชค" โชคทวี พรหมรัตน์ ถึงกับออกปากชมว่าจะดึงกลับไปติดทีมชาติอีกครั้งในชุดคิงส์คัพ
กองกลาง : ฉัตรมงคล ทองคีรี (ชัยนาท ฮอร์นบิล)
"เจ้าฉัตร" ดาวเตะสารพัดประโยชน์เล่นได้เก๋าเกินวัยจนไม่น่าเชื่อว่าจะเพิ่งอายุแค่ 21 ปี หลังจากเล่นดีจนได้รับคำชมมาหลายนัด เกมนี้แสดงให้เห็นถึงคลาสบอลที่ทั้งนิ่งและเหนือชั้น คุมแดนกลางให้ "นกใหญ่พิฆาต" สู้กับผู้เล่นระดับชาติของ "แข้งเทพ" ได้แบบถึงพริกถึงขิง ได้ข่าวว่านัดหน้าที่จะไปเยือน สมุทรปราการ อเลสซานเดร กาม่า เตรียมจะพาทีมงานเข้าไปดูฟอร์มเจ้าตัวถึงสนาม
กองกลาง : มุสตาฟา อาซัดซอย (เชียงใหม่ เอฟซี)
เพลย์เมคเกอร์ทีมชาติอัฟกานิสถานยิงคนเดียว 2 ประตูแบบจวนเจียนจะทำแฮททริคได้หลายครั้ง ดาวเตะวัย 26 ปีแสดงให้เห็นถึงสัญชาติญาณในการจบสกอร์ รวมถึงการวิ่งหาพื้นที่ได้ดีไม่แพ้กองหน้าอาชีพเลยทีเดียว น่าเสียดาย ในวันที่เขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม แต่สงสัยทีมคงเพลินกับเทศกาลวันไหลที่ชลบุรีไปหน่อย จนถูกเจาะตาข่ายสกอร์ไหลไปถึง 7 ลูก
กองกลาง: สตีเว่น ล็องจิล (ราชบุรี มิตรผล)
ปีกทีมชาติมาร์ตินิก โชว์ลีลาลากเลื้อยพลิ้วไหวดั่งสายน้ำเอาชนะกองหลังของ พีทีที ระยอง ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า นัดนี้เหมายิงคนเดียว 2 ประตู โดยเฉพาะลูกที่สองที่ยิงไกลเสียบมุมสามเหลี่ยมประตูอย่างงดงาม ถือเป็นผู้เล่นคลาสสูงที่เข้ามาช่วยสร้างสีสันให้ไทยลีกฤดูกาลนี้ได้มากทีเดียว
กองหน้า : ลูเคียน อัลเมด้า (ชลบุรี เอฟซี)
หัวหอกเลือดแซมบ้า สร้างสถิติเป็นนักเตะคนแรกของชลบุรี ที่ยิง 5 ประตูในนัดเดียว ที่สำคัญทั้ง 5 ลูกเป็นการยิงต่อเนื่องแบบไม่มีใครมาคั่นกลาง ในเกมที่ "ฉลามชล" เอาชนะ "พยัคฆ์ล้านนา" ได้ด้วยสกอร์ไทเบรก 7-5 มโหฬารซะอย่างกับแข่งเทนนิส ไม่ต้องบรรยายอะไรให้มากความสำหรับความยอดเยี่ยมของดาวซัลโวสูงสุดของไทยลีกในขณะนี้
เฮดโค้ช : จเด็จ มีลาภ (การท่าเรือ เอฟซี)
"มาสเซอร์เด็จ" พาทีม ท่าเรือ รักษาบัลลังก์จ่าฝูงได้ต่อไปหลังพักเบรกสงกรานต์ และถือเป็นกุนซือคนแรกที่สามารถพา "สิงห์เจ้าท่า" บุกกำราบ "กิเลนผยอง" ถึงถิ่นได้ 3 ฤดูกาลติดต่อกัน ผลงานการแก้เกมในครึ่งหลังทำให้ลูกทีมมีแรงฮึดยิงขึ้นนำก่อนเอาชนะไปได้ 2-1 การบริหารจัดการทีมที่มีผู้เล่นคุณภาพสูงขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ "มาสเซอร์เด็จ" เอาอยู่ จนทำให้ลูกทีมทุกคนเล่นด้วยสปิริตเพื่อทีมมากกว่าตัวเอง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การลุ้นคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้