TOYOTA Thai League Player Of The Week ประจำสัปดาห์ที่ 17
11 ผู้เล่นยอดเยี่ยม ศึกโตโยต้า ไทยลีก 2019 ประจำสัปดาห์ที่ 17
แผนการเล่น : 4-3-3
ประตู : ไพโรจน์ เอี่ยมมาก (เชียงใหม่ เอฟซี)
การกลับมาเยือนถิ่นเก่าที่ทะเลหลวง ที่ๆ เขาเคยอยู่รับใช้มานานถึง 4 ปีเต็ม จนกระทั่งถูกมองข้าม อาจเป็นแรงขับเคลื่อนให้พลังแฝงที่ซ่อนอยู่ในตัวถูกผลักออกมาเพื่อพิสูจน์คุณค่า สัปดาห์นี้อาจจะมีผู้รักษาประตูโดดเด่นหลายคน แต่ฟอร์มเซฟครั้งแล้วครั้งเล่าของ "อาร์ต" ซึ่งช่วยให้ "พยัคฆ์ล้านนา" บุกมาเก็บ 3 แต้มจากสุโขทัยได้นั้น ต้องยอมรับเลยว่าสุดจริงๆ
กองหลัง : จตุรภัทร สัทธรรม (ชัยนาท ฮอร์นบิล)
"แม็ค" ยิงประตูเบิกร่องให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกม และมีบทบาทขึ้นลงช่วยทั้งเกมรับและรุกได้อย่างน่าชื่นชม ครึ่งหลังในช่วงที่ทีมต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน ดาวเตะทีมชาติไทยชุดยู-23 ก็ยังแสดงให้เห็นถึงพละกำลังที่ไม่มีหมด ช่วยเล่นเกมรับจนรักษาสกอร์นำและคว้าชัยได้ตามเป้าหมาย
กองหลัง : มิชาเอล เซโรชตาน (สุพรรณบุรี เอฟซี)
"ช้างศึกยุทธหัตถี" เพิ่งคว้าปราการหลังชาวอิสราเอล มาร่วมทีมหมาดๆ ท่ามกลางข้อสงสัยว่าจะเป็นคนที่ใช่หรือไม่ และเพียงเกมแรก "มิกิ" ก็พิสูจน์ให้เห็นทันทีว่านี่คือดีลสุดคุ้ม ลำพังแค่เกมรับก็จัดการกองหน้าคู่ใหม่ของ บุรีรัมย์ ซะอยู่หมัด โดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่เก็บกินได้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นจังหวะเกมบุกก็ยังขึ้นมาช่วยลุ้นทำประตูจากลูกตั้งเตะได้อย่างดุดัน
กองหลัง : จักพัน ไพรสุวรรณ (สมุทรปราการ ซิตี้)
"นุ้ก" เก็บหลังบ้านได้ทุกจังหวะจนชลบุรี ไม่มีโอกาสจบสกอร์แม้แต่ครั้งเดียว และยังมีลูกเปิดยาวที่แม่นยำให้แนวรุกได้ลุ้นโจมตีสวยๆ หลายครั้ง ลูกเซ็ตพีชทั้งฟรีคิกและเตะมุมกดดันแนวรับทีมเยือนได้ดีมาก ยิ่งเล่นยิ่งโดดเด่นจริงๆ สำหรับปราการหลังสารพัดประโยชน์รายนี้
กองหลัง : เอร์เนสโต้ ภูมิพา (เอสซีจี เมืองทองฯ)
การเจอทีมเก่าอาจเป็นแรงจูงใจที่วิงแบ็กลูกครึ่งไทย-สแปนิช มีลูกบ้ามากขึ้น เกมนี้เขาวิ่งขึ้นลงและมีส่วนร่วมกับเกมเยอะมาก อย่างน้อยอาจจะทำให้ "แข้งเทพ" รู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่ปล่อยเขาออกมาโดยที่ยังไม่ได้ใช้งานมากเท่าไหร่เลย
กองกลาง : สหรัฐ กันยะโรจน์ (พีทีที ระยอง)
"เมสซี่ฟาร์๋ม" หายเจ็บกลับมาลากเลื้อยและคุมจังหวะเกมในแดนกลางได้โดดเด่นมากๆ จนแผงกลางและแนวรับของ ประจวบ ปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ตลอด ฟอร์มดีสม่ำเสมอต่อเนื่องแบบนี้ อนาคตไม่แน่เหมือนกันว่าทีมชาติอาจจะเปิดประตูรับเขาเข้าไปโชว์ลวดลายก็เป็นได้
กองกลาง : ชาริล ชัปปุยส์ (เอสซีจี เมืองทองฯ)
กลับมายึดตำแหน่งตัวจริงอีกครั้งในยุคของ อเล็กซานเดร กามา ความมุ่งมั่นทุ่มเท และการเคลื่อนที่ยามไม่มีบอลทั้งจังหวะบุกและรับสามารถชนะใจทั้งโค้ชและกองเชียร์ของ "กิเลนผยอง" ได้สำเร็จ เกมนี้มีส่วนร่วมกับแทบทุกจังหวะ ประตูีตีเสมอ 2-2 จุดเริ่มต้นก็มาจากการยิงของเจ้าตัว เรียกได้ว่าแผงกลางของเมืองทองถ้าจะให้เกิดความสมดุลก็ต้องใช้งานเขาคนนี้
กองกลาง : ชุติพนธ์ ทองแท้ (สุพรรณบุรี เอฟซี)
คุมจังหวะได้เนียนตามากๆ สู้กับกลางของ บุรีรัมย์ ได้อย่างไม่เป็นรอง เปิดบอลแม่นยำทั้งสั้นและยาว มีจังหวะพลิกจากรับเป็นรุกได้สวยๆ การย้ายมาอยู่กับทีมที่ได้บทบาทสำคัญแบบนี้ทำให้ "บอล" กลับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้ง
กองหน้า : ธีรศิลป์ แดงดา (เอสซีจี เมืองทองฯ)
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้คือ "มุ้ย" มีแววตาที่กระหายชัยชนะมากขึ้น ช่วยเก็บบอลลูกกลางอากาศให้ทีมได้เปรียบแทบทุกครั้ง มีการวิ่งเพรสซิ่งแดนบนและเชื่อมเกมระหว่างไลน์ได้แบบเนียนตา นัดนี้ทำไป 1 ประตูจากจังหวะยิงเสียบโคนเสาอย่างงดงามอีกด้วย
กองหน้า : เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส (เอสซีจี เมืองทอง ยูฯ)
ยังคงเป็น "เดอะแบก" คนเดิม เพิ่มเติมคือเพื่อนร่วมทีมที่เซนส์บอลทันกัน สิ่งที่เฮแบร์ตี้ดูเปลี่ยนไปคือเล่นบอลง่ายขึ้นมีการประสานงานกับคนอื่นมากขึ้น ลูกยิงไกลจากแถวสองยังอันตรายเหมือนเดิม นัดนี้ลองวัดระยะไปหลายรอบจนกระทั่งมาสัมฤทธิ์ผลในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ กลายเป็นประตูพลิกกลับมาคว้าชัยแบบไม่ปล่อยให้ "แข้งเทพ" ได้แก้ตัวอีกเลย
กองหน้า : เดนนิส มูริลโล่ (พีทีที ระยอง)
ดีลนี้เป็นการคืนสู่เหย้าที่แฟนบอล "พลังเพลิง" แฮปปี้เหลือเกิน เพราะ เดนนิส เป็นกองหน้าที่ไม่หวงบอลและพยายามคอยสร้างจังหวะให้เพื่อนร่วมทีมลุ้นทำประตูอยู่ตลอด นัดนี้โดดเด่นมากๆ สามารถกดดันแนวรับของ ประจวบ ในแบบที่ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ การประสานกับ อภิวัฒน์ เพ็งประโคน ดูเข้าขาเหมือนเล่นด้วยกันมานาน
เฮดโค้ช : อเล็กซานเดร กามา (เอสซีจี เมืองทองฯ)
ในสถานการณ์ที่ทีมเป็นฝ่ายตามหลังถึง 2 ครั้งสองครา แต่กุนซือเลือดแซมบ้าก็ยังคงสุขุมพอที่จะหาวิธีแก้เกม การส่ง เออร์เนสโต้ กับ ชัปปุยส์ ลงเล่นถือว่ามีผลกับรูปเกมอย่างมาก สิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือการกระุตุ้นให้ลูกทีมที่เคยดูหมดความกระหายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และสุดท้ายการที่ทีมพลิกกลับมาคว้า 3 แต้มได้ ซึ่งเป็นการคว้าชัย 3 นัดรวด ก็เป็นสิ่งที่ต้องยกเครดิตให้ กามา อย่างมากด้วยเช่นกัน