ชัยชนะของ อังกฤษ เหนือ ตูนิเซีย 2-1 เมื่อคืนวันจันทร์ เต็มไปด้วยการบ้านที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ต้องรีบแก้ไข แม้ท้ายที่สุดแล้วจะเก็บสามแต้มได้ตามเป้าก็ตาม
สองประตูจากลูกเตะมุม ซึ่งเป็นสองประตูจาก แฮร์รี่ เคน แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทรี ไลออนส์ มีปัญหาเรื่องการจบสกอร์ในจังหวะโอเพนเพลย์ เพราะตลอดทั้งเกมสร้างโอกาสได้มากมายก่ายกอง
รวมถึงระบบการเล่น 3-5-2 ที่ เซาธ์เกต เพิ่งเริ่มทดลองใช้ในเกมอุ่นเครื่องเมื่อเดือนมีนาคม มันใช้ได้ผลแค่ไหน ยามต้องเผชิญหน้ากับทีมอ่อนกว่า ที่ลงไปตั้งรับลึกกันเกือบทั้งทีม
ว่ากันด้วยเรื่องระบบและแท็กติกการเล่น เซาธ์เกต ดูเหมือนจะยึดติดกับระบบ และไม่กล้าปรับเปลี่ยนระหว่างเกม ทั้งที่คู่แข่งอย่าง ตูนิเซีย แสดงออกชัดเจนแล้วว่าต้องการหนึ่งแต้มในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย
ประเด็นแรก เรื่องการเปลี่ยนตัว
ราฮีม สเตอร์ลิง พลาดโอกาสทองตั้งแต่ต้นเกม และทำเสียของไปหมด กับบทบาทการเล่นกองหน้าคู่ แฮร์รี่ เคน แต่ เซาธ์เกต ยังคงให้เวลาอยู่ในสนามนานถึง 68 นาที ก่อนส่ง มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงมา
อีกคนที่หายไปจากเกมคือ เดเล่ อัลลี ที่ไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย แถมยังมีข่าวหลังเกมว่า มิดฟิลด์จาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ บาดเจ็บตั้งแต่ครึ่งแรก แล้วมีเหตุผลอะไรที่ เซาธ์เกต ถึงไม่เปลี่ยนตัวออกจนกระทั่งนาที 80
และที่สร้างความประหลาดใจไม่น้อยคือ เซาธ์เกต เก็บโควต้าเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายเอาไว้หาอะไร ทั้งที่เวลาผ่าน 90 นาทีไปแล้ว สกอร์ยังตรึงอยู่ที่ 1-1 ปล่อยให้ เจมี่ วาร์ดี้ กับ แดนนี่ เวลเบ๊ค นั่งเกาไข่อยู่ข้างสนาม
ประเด็นที่สอง เรื่องระบบการเล่น
อังกฤษ อาจทำได้ดีกับระบบ 3-5-2 ในเกมอุ่นเครื่อง 4 นัดก่อนหน้านี้ และทำได้ไม่เลวในช่วงครึ่งแรก แต่เมื่อผลการแข่งขันกลับมาเป็น 1-1 ในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย หรืออาจจะ 5 นาทีสุดท้ายก็ได้ เซาธ์เกต ก็ยังคงไม่ปรับเปลี่ยนอะไรจากข้างสนาม ได้แต่ยืนรอโชคชะตาแก้เกมให้
จากรูปเกมในช่วงท้าย สิงโตคำราม เหมือนเสียโควต้าในการทำเกมรุก กับการมี ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ปักหลักคุมเกมรับร่วมกัน ในช่วงเวลาที่ตัวรุกของ ตูนิเซีย ไม่มีใครโผล่หน้าขึ้นมาแล้ว
แม้ วอล์คเกอร์ กับ แม็กไกวร์ จะทำได้ดีในบางจังหวะที่ลากขึ้นมาเอง แต่มันคงดีกว่านี้ หากเปลี่ยนเป็นตัวรุกจริงๆ ลงมา พร้อมปรับระบบมายืนกองหลัง 4 คน จะขยับฟูลแบ็กไปยืนวิงแบ็กเต็มตัวในช่วงท้ายเลยยังได้
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เซาธ์เกต ก็เอาตัวรอดจากการโดนถล่มของบรรดาสื่อและแฟนบอลได้แบบมีโชค หลังจาก แฮร์รี่ เคน ช่วยเซฟเอาไว้จากประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
หลังจบเกมที่ โวลโกกราด อังกฤษ ใช้เวลาเดินทางกลับสู่แคมป์ที่ เรปิโน่ ในช่วง 6 โมงเช้าวันอังคาร ถือเป็นการเดินทางที่ทรหดไม่ต่างกับการนั่งเครื่องข้ามประเทศ ทำให้ เซาธ์เกต ตัดสินใจให้นักเตะที่ลงตัวจริงหยุดพัก 1 วัน ขณะที่คนอื่นๆ ลงซ้อมตามปกติ
อย่างที่บอกไปข้างต้น อัลลี ถูกส่งตัวเข้ารับการตรวจสแกนอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขา และยังไม่แน่ว่าจะฟิตทันเกมที่สองกับ ปานามา วันอาทิตย์นี้หรือไม่
นั่นทำให้สื่อดังของอังกฤษหลายๆ สำนัก ต่างให้น้ำหนักไปที่การลงตัวจริงของ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ที่ผลงานถือว่าน่าพอใจในการลงสำรองแทน อัลลี ในเกมกับ ตูนิเซีย เพียงแต่มีเวลาในสนามน้อยเกินไปหน่อย
ตำแหน่งกองหน้า แรชฟอร์ด ถูกเรียกร้องให้ลงเป็นสิบเอ็ดคนแรกแทน สเตอร์ลิง หลังลงมาสร้างความแตกต่างได้มากในช่วงท้ายเกม โดยแฟนบอลเกินครึ่งแสนลงคะแนนโหวตมากเกิน 80 เปอร์เซนต์ให้กองหน้าดาวรุ่งจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ตก่อนปีกจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้
อีกจุดคือวิงแบ็กฝั่งซ้าย แอชลี่ย์ ยัง รอดใบแดงจากการชักศอกตั้งแต่ต้นเกม และฟอร์มโดยรวมถือว่ายังสอบไม่ผ่าน แม้มีส่วนร่วมกับประตูแรกที่เป็นคนเปิดลูกเตะมุมก็ตาม โอกาสจึงอาจตกเป็นของ แดนนี่ โรส ได้ลงโชว์ฝีเท้าบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ซ้ายธรรมชาติเวลาครอสบอล
เวลานี้ เบลเยียม ตั้งมาตรฐานการยิง ปานามา เอาไว้แล้วที่ 3 ลูก อังกฤษ จึงต้องตอบให้ได้ตามโจทย์ที่ตั้งเอาไว้ เพื่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่า ก่อนถึงเกมชิงอันดับ 1 ของกลุ่มจีในนัดสุดท้าย
แต่สิ่งที่สำคัญพอๆ กับผลการแข่งขันที่แฟนบอล ทรี ไลออนส์ ต่างต้องการเห็น นั่นคือการปรับเปลี่ยนและแก้ไขในจุดบกพร่องของทีมจากกุนซือ แกเร็ธ เซาธ์เกต ไม่ใช่แค่ก่อนเกมเท่านั้น แต่สำคัญที่สุดคือในระหว่างเกมด้วย
หาก เซาธ์เกต ยังคงนิ่งเฉยแบบเกมกับ ตูนิเซีย แล้ว บอกได้เลยว่าโชคชะตาไม่ได้เข้าข้างทีมอย่าง อังกฤษ บ่อยๆ โดยเฉพาะในทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างฟุตบอลโลก
