เพื่อสโมสร
ชัยชนะคือเรื่องดีเสมอ ยิ่งการแซงกลับมาหลังจากตามหลัง 2 ประตูยิ่งทำให้ชัยชนะนั้นหอมหวานและมีค่าแก่การฉลอง
นักเตะต่างรวมพลังและสู้เพื่อทีม ค่อยๆสร้างเกม ต่อบอลขึ้นมา ก่อนจะหาจังหวะและจุดเปลี่ยน ซึ่งในที่สุดปาฏิหาริย์ก็บังเกิดใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ถือเป็นการคว้าชัยและปลดล็อกใน 'โรงละครแห่งความฝัน' หลังจากไม่ชนะมาหลายเกมตั้งแต่นัดที่เชือด เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อต้นฤดูกาล 2-1
ยิ่งสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาทำให้ ปิศาจแดง และ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องการชัยชนะเพื่อลดกระแสที่โดนสื่อโจมดี รวมไปถึงแฟนบอลที่ต้องการไล่กุนซือโปรตุเกสออกจากตำแหน่ง เพราะช่วงที่ผ่านมา มูรินโญ่ ตกเป็นเป้าโจมตีตลอดเวลากับผลงานที่ดิ่งลงเหว
บวกกับกระแสข่าวการปลดออกจากตำแหน่งหลังจบเกมกับ สาลิกาดง ยิ่งทำให้เกมเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นที่น่าจับตาของสื่อและแฟนบอลว่าท้ายที่สุดมันจะจบลงอย่างไร
สกอร์ 0-2 ในครึ่งแรก ทำให้คอของ มูรินโญ่ พาดเขียงรอการลงมีดบังตอของบอร์ดบริหาร
แต่ใครจะไปคิดว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดนี้จะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาแซงชนะไปได้แบบสุดมัน
ถือเป็น 45 นาทีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครึ่งแรกเล่นแบบไร้ใจ ไม่มีจิตวิญญาณ และบางคนไม่สมควรสวมเครื่องแบบปิศาจแดง (หากยังเล่นแบบนั้น)
สถานการณ์ตอนนั้นใครหลายคนมองว่าคงไม่พ้นอีหรอบเดิม และน่าจะโดน นิวคาสเซิ่ล บวกสกอร์เพิ่มอีกสัก 1-2 ประตู
ทว่า สิ่งที่ทำให้เกมกลับมาเข้าทาง ยูไนเต็ด คือการรวมใจของนักเตะและคำพูดของ มูรินโญ่ ที่ส่งตรงไปยังนักเตะในช่วงพักครึ่ง รวมไปถึงแท็คติกที่หนนี้ใช้แล้วได้ผล
ความมีชีวิตชีวา ความกระตือรือร้น และมุ่งมั่นมันส่งผ่านมาทางสายตาและการทำเกมแต่ละครั้ง ทุกคนในสนามมุ่งมั่นเต็มที่ อย่างน้อยๆในตอนนั้นพวกเขาคงคิดว่าเพื่อแฟนบอลที่เสียเงินเข้ามาชมและเชียร์พวกเขา แต่เหนือสิ่งอื่นใด เพื่อตราบนหน้าอกของพวกเขา และสโมสรที่ตั้งตระหง่านตรงหน้า
บวกกับแท็คติกที่ มูรินโญ่ เสี่ยงใช้งานกองหลังอาชีพเพียงรายเดียวอย่าง คริส สมอลลิ่ง ที่จะได้รับการสนับสนุนจาก ปอล ป็อกบา และ เนมานย่า มาติช ที่ปักหลักอยู่ข้างหน้าขึ้นไปเล็กน้อย
การตอบสนองของทุกคนดำเนินไปในทิศทางบวก แม้ประตูแรกจะมาช้าแต่ช่วงที่เหลือก็เพียงพอให้ ปิศาจแดง แซงเข้าป้ายไปในที่สุด โดยเฉพาะ ป็อกบา ที่ดูจะมีชีวิตชีวาในการเคลื่อนเกมและพาบอลจากแนวรับขึ้นไป เราจะได้เห็นการมีส่วนร่วมของกองกลางรายนี้มากกว่า 45 นาทีแรก และนั่นส่งผลดีกับเกมชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
มูรินโญ่ มองว่าทีมของตนต้องการการสร้างเกมจากแนวรับ ทำให้เขาต้องใช้งาน ป็อกบา และ มาติช ให้ยืนหน้าเซ็นเตอร์ฮาล์ฟขึ้นไปเล็กน้อย (ไม่ใช่กองหลัง 3 ราย) เพื่อลงไปล้วงบอลและทำลายเกมในคราวเดียว
ถือเป็นการเสี่ยงที่ได้ผล และหวังว่าชัยชนะครั้งนี้จะเข้าหัวและฝังไปยังสำนึกความรู้สึกของบรรดานักเตะให้รู้ถึงความสำคัญและหน้าที่ที่ต้องทำก่อนความรู้สึกส่วนตัว
ส่วนตัวเห็นด้วยกับคำพูดของ มูรินโญ่ หลังจบที่ผ่านมา ที่ระบุว่า 'คุณไม่ต้องเล่นให้ผู้จัดการทีมหรอก แต่จงตระหนักว่าเล่นเพื่อสโมสรที่จ่ายเงินให้คุณมีกินมีใช้'
ข้อนี้เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึงคุณจะมีปัญหาหรือไม่พอใจกับเจ้านาย แต่สิ่งที่พึงตระหนักไว้คือ สโมสรต้องมาก่อน เพราะหากวันไหนที่คุณเล่นเพื่อความต้องการของตัวเองแล้วล่ะก็ วันนั้นคุณก็ไม่ใช่นักเตะของสโมสรอีกต่อไป
นักเตะมีมาแล้วไป กุนซือก็เช่นกัน แต่สโมสรยังคงอยู่ต่อไปทั้งในนามและความสำเร็จ คนที่ผ่านเข้ามาเป็นเพียงฟังเฟืองที่ขับเคลื่อนสโมสร กระนั้นก็อยู่ที่ว่าฟันเฟืองเหล่านั้นจะเล็กใหญ่มากน้อยเพียงใด และจะถูกจดจำในฐานะใด
ชัยชนะนัดที่ผ่านมาอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนในแง่ของความมั่นใจ แต่ทีมก็ยังมีงานหนักรออยู่และต้องพยายามฟันฝ่าไปให้ได้
กับช่วงเวลาที่ผลงานยังไม่คงเส้นคงว่า มันก็อยู่ที่นักเตะแล้วว่าจะรักษาความรู้สึกและสานต่อกับสิ่งที่ทำไว้ได้ดีเพียงใด
อย่างน้อยๆ ให้พวกเขาพึงตระหนักไว้เสมอว่า ทุกครั้งที่ลงสนามไม่ใช่เพื่อผลงานส่วนตัวแต่เพื่อสัญลักษณ์สโมสรที่แปะบนอกพวกเขา
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT