ความแตกต่าง

เอาแค่ 45 นาทีแรกที่โอนเอนโดน เบรนท์ฟอร์ด กดดันจนแทบโงหัวไม่ขึ้น พร้อมโอกาสอีกมากมายของทางเจ้าบ้าน ดีที่ ดาบิด เด เคอา ยังคงรักษามาตรฐานป้องกันจังหวะสำคัญได้หมด

ใครเห็นตอนนั้นก็คงคิดว่าไม่น่ารอด เพราะปัญหาเดิมๆ กลับมาอีกครั้งในการรับมือเกม 'เพรสซิ่ง' ที่ทำได้แย่แก้ไขไม่ได้ กลายเป็นว่าโดน เบรนท์ฟอร์ด บีบในจังหวะสำคัญๆ หรือโดนสวนกลับแบบจังเบอร์ 

ดีที่จังหวะสุดท้ายไม่ยิงออกไปเองก็โดน เด เคอา ป้องกันได้หมด

ผ่านพ้น 45 นาทีแรกไปแบบบอบช้ำ เป็นรองทุกด้าน (ยกเว้นเปอร์เซ็นต์ครองบอล) โดยเฉพาะจังหวะเข้าทำที่ไม่มีโอกาสกดตรงกรอบ มีเพียงลูกยิงไกลของ ดีโอโก้ ดาโลต์ ที่พอให้ได้เสียวไส้ 

ณ ตอนนั้น คำถามสำคัญคือ ราล์ฟ รังนิก จะแก้เกมอย่างไร เนื่องจากเป็นรองชัดเจนที่สำคัญจะตัดการลำเลียงหรือเข้าทำ เบรนท์ฟอร์ด อย่างไร

แต่พอเสียงนกหวีดเริ่มเกม 45 นาทีหลังดังขึ้น สัญญาณบวกส่งออกมาทั้งจังหวะเข้าทำที่ดูดีขึ้น และแน่นอนว่าการต่อบอลที่ดีกว่าครึ่งแรก รวมไปถึงสีหน้าท่าทางของผู้เล่นที่ดูมุ่งมั่นกว่าเดิม

จะด้วยอะไรก็ตาม มันกลายเป็นตลกร้ายเพราะคนที่มีส่วนร่วมในการเบิกสกอร์แรกดันเป็นนักเตะที่โดนด่าหรือถูกวิจารณ์ผลงานต่อเนื่องอย่าง เฟร็ด ซึ่งสถิติก็เล่นตลกตรงที่กองกลางบราซิลแอสซิสต์มา 3 เกมติดต่อกันแล้ว

เข้าใจมุมแฟนบอลที่วิจารณ์เพราะผลงานโดยรวมของแข้งหมายเลข 17 ไม่เข้าตาเสียเท่าไหร่ จึงไม่แปลกที่จะมีเสียงตำหนิออกมา ยิ่งพอเอาไปโยงกับกรณี ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ทำให้การถกเถียงเผ็ดมันขึ้น

เรื่องนั้นขอข้ามไปก่อนเพราะอยากโฟกัสไปยังเกมล่าสุด อย่างที่เรียนไปว่าครึ่งหลังรูปเกมของ ปิศาจแดง ดีขึ้นและฉวยโอกาสออกนำทั้งที่ 45 นาทีแรกจะโดนหลายครั้งก่อนรอดมาได้

มันคือจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ของทีมเยือนแต่ยังรวมไปถึง เบรนท์ฟอร์ด ที่ชะงักไปดื้อๆ เหมือนกับมวยที่ไล่ยำไล่ต่อยฝ่ายตรงข้ามแต่ดันเอาไม่ลง ก่อนจะโดนเคาน์เตอร์สวนเข้าปลายคางเต็มๆ 

หมัดแรกว่ามึนแล้ว มาโดนหมัดสองจากจังหวะสวนกลับยิ่งทำให้ ผึ้งน้อย เป๋หนักกว่าเดิม เรื่องดังกล่าว โธมัส แฟร้งค์ คงเข้าใจได้ดีสุดเพราะเขาก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะแพ้หากพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเกม

บางครั้งฟุตบอลก็เป็นเกมที่เข้าใจได้ยากเหมือนนัดที่ผ่านมา และบางครั้งจังหวะเดียวสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างก่อนหน้านั้นได้ทั้งหมด

ถึงตรงนั้นตอนที่สกอร์ 2-0 โมเมนตัมเอนมาทาง ปิศาจแดง ชัดเจน เบรนท์ฟอร์ด พยายามแล้วพยายามอีกก็ทำได้ไม่ดีเหมือนเดิม กลับกันยังเปิดช่องว่างให้ทีมเยือนเล่นเกมที่ถนัดโจมตีได้มากขึ้น

และแล้วประตูที่ 3 ถือเป็นการปิดเกมโดยสมบูรณ์ 

หากพิจารณานอกเหนือจาก 3 คะแนนหรือผลงานในครึ่งหลังที่ดีขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็ยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะการประสานงานของนักเตะที่ยังดูขาดๆ เกินๆ 

เรื่องดังกล่าวชัดเจนอย่างมากในช่วง 45 นาทีแรก แนวรุกไม่สามารถต่อเกมหรือประสานงานลงตัว ดูเหมือนว่าจะเกิดความสับสนหรือการยืนตำแหน่งที่ทับกัน จังหวะที่ควรยัดตรงกลางกลับจ่ายออกข้าง จังหวะที่ควรจ่ายออกข้างกลับยัดเข้าใน แม้แต่แดนกลางที่บางทีก็รอจังหวะเกินไปจนทำให้ เบรนท์ฟอร์ด ลงไปรับทันเวลาในตอนที่เสียบอล

อีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือการหยุดเกมรุกฝ่ายตรงข้าม และลดความผิดพลาดของตัวเอง เพราะหากไม่มี เด เคอา ที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมในครึ่งแรก ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีสภาพอย่างไร หรือหากเกิดขึ้นกับคู่แข่งที่เฉียบคมกว่าดีไม่ดี ผีแดง อาจจะศพไม่สวย

เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัด แฟนบอลทราบ นักเตะทราบ กุนซือก็ทราบ แต่การแก้ไขต้องใช้เวลาซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะไม่เจอในช่วงนี้เนื่องจากต้องลงสนามอย่างต่อเนื่อง

ช่วงที่ผ่านมาเอาแค่ลงเล่นก็แทบรากเลือด ผ่านมาได้ก็ถือว่าโอเคและดีแค่ไหนแล้ว

หลังจากนี้คือการรับมือทีมฟอร์มดีอย่าง เวสต์แฮม ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งด่านสำคัญในการลดช่องว่างพื้นที่ ท็อป 4 

ภารกิจที่สำคัญก่อนจะถึงช่วงพักโปรแกรมทีมชาติ ซึ่งหลังจากนั้นจะเป็นเวลาทองที่ รังนิก ต้องการในการกลับไปทบทวนหรือมองหาข้อบกพร่องในทีมเพื่อแก้ไขให้ดีขึ้น

หวังว่าเมื่อ รังนิก ได้เวลามากพอในการเข้าไปพิจารณาพูดคุยเรื่องแท็กติกกับลูกทีมหลังจากนี้จะมีสัญญาณที่ดีส่งออกมา และหวังว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น