เมื่อฟุตบอลวัดกันที่จำนวนประตู
ก่อนการแข่งขันไม่ว่าจะ 'แฟนผี' หรือ 'แฟนหงส์' ต่างบลัฟใส่กันชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร เพราะนี่คือเกมแห่งศักดิ์ศรีไม่ว่าเจอกันเมื่อไหร่, เจอกันที่ใหน หรือกำลังอยู่ในสถานการณ์ใด ความมันทะลุจุดเดือดมีอยู่เสมอ
ยิ่งหนนี้พิเศษใส่ไข่ เพราะชัยชนะมีความหมายทุกแง่มุม หาก ลิเวอร์พูล ชนะ พวกเขาจะกระโดดเหยียบหัว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นไปอยู่ที่ 2 และเปลี่ยนสถานะ 'ใต้ตีน' มาให้ ปิศาจแดง
เช่นกันหาก ปิศาจแดง ชนะ ก็จะขยับหนีไปเป็น 5 แต้ม และยิ่งตอกย้ำสถานะ 'ใต้ตีน' ให้บรรดา เดอะ ค็อปส์ ต่อไป
ท้ายที่สุดผู้ที่เป็นฝ่ายได้รับการชูมือคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อาศัยจังหวะลอบฆ่าแบบแยบยลในครึ่งแรก โดยมีนักเตะอย่าง โรเมลู ลูกากู ที่เป็นตัวชี้เป้า ก่อนให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นคนลั่นไกสังหาร
ต้องบอกว่าครึ่งแรกเป็นเกมของ ยูไนเต็ด อย่างชัดเจน ลูกทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ สามารถคุกคามและโจมตีจุดอ่อน หงส์แดง ได้อย่างเห็นผล
จังหวะได้ประตูนั้นไม่ต้องต่อบอลกันให้มาก เพราะ มูรินโญ่ ทราบถึงจุดอ่อนในแนวรับของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะ เดยัน ลอฟเรน ที่โดน ลูกากู เล่นงานถึงสองครั้งและนำมาซึ่งสองประตู
ง่ายๆ บอลยาวโด่งมาที่หอกร่างถึกและบึกบึนอย่าง 'เดอะ รอม' ที่อาศัยการโขกเช็ดให้ แรชฟอร์ด หรือเอาลงแล้วชงเองให้ มาต้า ในจังหวะต่อมา (ก่อนบอลจะกระดอนไปหา แรชฟอร์ด ในท้ายที่สุด)
ทุกอย่างอยู่ในการคำนวณของ มูรินโญ่ ซึ่งท้ายที่สุดอยู่ที่แนวรุกในสนามว่าจะทำตามคำสั่งได้หรือไม่ และผลก็ออกมาอย่างที่เห็นกับ 2 ประตูจากปลายสตั๊ตของ แรชฟอร์ด ซึ่งก็เกือบที่จะเป็น 3 หากจังหวะกระโดดตีลังกายิงของ ฆวน มาต้า ลอยเสียบเสา อะไรๆก็คงง่าย (และไม่วุ่นวายเช่นนี้)
แม้ว่าครึ่งหลัง หงส์แดง ฟื้นตัวและทำได้ดีกว่าเดิม แต่เอาเข้าจริงๆ พวกเขาไม่ได้สร้างความอันตรายให้กับแผงหลัง ปิศาจแดง เลยแม้แต่น้อย
มีบ้างที่หวาดเสียว มีบ้างที่ต้องนั่งเกร็งตูดในบางจังหวะ แต่พอมาลองนอนนึกดีๆ ก็พบว่า มันไม่มีเลยจริงๆ (อาจจะมีเพียงจังหวะที่ ซาดิโอ มาเน่ กระชากเข้าไปยิงก่อนโดน เอริค ไบยี่ บล็อก)
ยิ่งจังหวะได้ประตูนั่นด้วย แม้ทาง ลิเวอร์พูล จะมองว่า ซาดิโอ มาเน่ กดดันทางซ้ายได้ดีด้วยการกระชากผ่าน สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และเปิดเข้ามา ก่อนจะเป็น เอริค ไบยี่ หวดผิดเหลี่ยมเขาประตูตนเองไป แต่ก็อย่างที่เรียนไป หากไม่นับจังหวะนั้น หงส์แดง ไม่มีอะไรที่จะคุกคาม ดาบิด เด เคอา ได้เลย
โอเค ... จังหวะยิง หงส์แดง มากกว่าตั้ง 16 ต่อ 7 ครั้ง แต่ขอโทษ หากดูจากจำนวนยิงตรงกรอบเท่ากันที่ 2 หนแล้ว ปีศาจแดง เปลี่ยนเป็น 2 ประตู แต่ฝ่ายตรงข้ามคือ 0
หลายสิ่งดูเหมือนจะไม่เป็นใจสำหรับ หงส์แดง แนวรุกที่ดุดันกลับทำอันตรายอะไร ปิศาจแดง ไม่ได้เลย
แนวรับที่แข็งแกร่งและมีวินัย (บางคนเรียกรสบัส) โดยเฉพาะ เอริค ไบยี่ ที่กลับมาลงสนามเป็นตัวจริงในรอบเกือบ 4 เดือน สามารถโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม (ไม่นับลูกหวดเข้าประตูตัวเองนะ อิอิ)
ไบยี่ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง, ดุดัน รวมไปถึงการอ่านเกมที่ช่วยเพิ่มสมดุลในแนวรับอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนั้น แอชลี่ย์ ยัง ก็มีผลงานที่สะเด่ามาก หลังจากโชว์ฟอร์มน่าผิดหวังในเกมกับ คริสตัล พาเลซ แต่เกมล่าสุดที่หักปีกหงส์ 'อ.ยัง' ของเหล่าแฟนผีถือเป็นไม้เด็ดในการสะกดให้ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ เงียบเป็นเป่าสาก
จังหวะการอ่านเกมหรือชะลอการเล่นของ โม ซาล่าห์ รวมไปถึงการตามประกบชนิดที่ 'เงา' ของ ซาล่าห์ ยังอาย ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้แนวรุก ลิเวอร์พูล เล่นต่ำกว่ามาตรฐาน
ถือเป็นชัยชนะที่ สาวก เร้ด อาร์มี่ แช่มชื่นและสะใจกันสุดๆ
แต่ ...
ก็มิวายที่จะเกิดข้ออ้างหลังจบเกมขึ้นมา
จังหวะน่าจะแฮนด์บอลของ อันโตนิโอ วาเลนเเซีย, จังหวะปะทะกันระหว่าง มารูยาน เฟลไลนี่ กับ มาเน่ หรือการเล่นเน้นรับในครึ่งหลังของ ยูไนเต็ด ที่ แฟนบอลหงส์แดง (หัวร้อน) เอามากระหน่ำเป็นข้ออ้างแถไปแถมา
อืม ... จะว่าไปก็น่าเห็นใจ
เพราะหากมองในมุมกลับกัน หากตอนนั้น ปิศาจแดง เป็นฝ่ายตามหลังและเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นกับตนเอง แฟนบอล ยูไนเต็ด ก็อาจจะโวยวายไม่ต่างกัน โดยเฉพาะการปะทะในกรอบเขตโทษของ 'เจ้าฟู' และ มาเน่
เหตุการณ์นั้นถือว่าก้ำกึ่ง ทำไมถึงก้ำกึ่งเพราะหากดูจริงๆแล้วทั้งสองคนถือว่าปรี่ไปที่บอลพร้อมกัน แต่ มาเน่ เองก็ไม่ได้อยู่ในจังหวะที่ได้เปรียบเพราะหากดูดีๆแล้ว กองหน้าชาวเซเนกัลยังไม่ได้ถึงบอลก่อนแต่อย่างใดหรืออยู่ในตำแหน่งที่จะได้ยิง
'ผมมองว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยากของผู้ตัดสิน' แกรม ซูเนสส์ ระบุถึงจังหวะปะทะระหว่าง เฟลไลนี่ กับ มาเน่
'ถ้าคุณเป็น เฟลไลนี่ ที่อยู่ในตำแหน่งนั้น คุณจะทำอะไรนอกจากนั้นได้' เจมี่ คาร์ราเกอร์ กล่าว และมองว่า เคร็ก พอว์สัน ทำถูกแล้ว
อันนี้เข้าใจ อารมณ์ในตอนนั้นมันกดดันและบีบคั้นสุดๆ แฟนบอลหงส์แดงมองว่าพวกเขาควรได้ประโยชน์แต่เมื่อไม่ได้อาการหัวร้อนก็ตามมา
ไหนจะก่อนหน้านั้นกับลูกแฮนด์บอลก็ไม่ได้ แถมจังหวะยกเท้าสูงของดาวเตะเอกวาดอร์ (มาเน่ เคยโดนไล่ออกจากจังหวะคล้ายกันในเกมเจอ แมนฯ ซิตี้) ทำให้จังหวะหลังของ มาเน่ (ที่เบียดกับ เฟลไลนี่) ยิ่งเพิ่มดีกรีความเดือดเป็นทวีคูณ
อารมณ์หัวร้อนยังคงตามติดชีวิตเด็กหงส์ หลายคนยกอะไรต่างๆนานามาอ้างหาเหตุผลที่จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
จำนวนการยิง
เปอร์เซ็นต์การครองบอล (31.9 - 68.1)
การผ่านบอล (281-585)
หรือรูปเกมในครึ่งหลัง (ทั้งที่ครึ่งแรก ปิศาจแดง ดีกว่าชัดเจนกลับไม่พูด)
สิ่งต่างๆนานาล้วนแล้วถูกยกออกมาเป็นข้ออ้าง (ไหนจะข้อหาซื้อกรรมการที่กลับมาอีกครั้ง)
แต่ท้ายที่สุดฟุตบอลคือการทำประตูและฝ่ายไหนที่สอยตาข่ายตรงข้ามได้มากกว่าคือผู้ชนะ
เพราะหากจะมาอ้างเอาเปอร์เซ็นต์การครองบอลเป็นหลัก เช่นนั้นแล้วก็แนะนำให้ยกประตูสองฝั่งออกแล้วหันมาเล่นการครองบอลกัน
แบบนั้นแล้วคงจะสาสมใจพวกพี่เขา (มั้ง)
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT