เส้นทางที่เลือกเอง
ซัมเมอร์ในปีนั้นเด็กหนุ่มจากยุโรป 7 ชาติเดินทางไปทำศึกชิงแชมป์ยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ส ซึ่งหลายคนต่างคาดหวังว่าจะมีดาวดวงใหม่ขึ้นมาประดับวงการ
หนึ่งในนั้นคือเจ้าภาพของรายการอย่างเนเธอร์แลนด์สที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตดาวดังมาประดับวงการฟุตบอลทุกยุคทุกสมัย และถือเป็นที่กล่าวขวัญอย่างมากในวงการฟุตบอล
และมันก็เป็นอย่างที่หวังไว้ เด็กหนุ่มวัย 20 ปีจาก เฟเยนูร์ด แสดงผลงานที่เตะตาด้วยการการะชากลากเลื้อยทางริมเส้นทางซ้าย จากผลงานที่เกิดขึ้นทำให้เขาถูกพูดถึงอย่างมากในรายการนั้น
ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มนาม รอยสตัน เดรนเธ่ ก็มีส่วนสำคัญพาทัพอัศวินสีส้มก้าวไปฟาดแชมป์ยุโรปรุ่นเล็กได้สำเร็จ ที่สำคัญเด็กหนุ่มคนนี้ก็ยังคว้ารางวัลนักเตะทรงคุณค่าประจำรายการไปครอง
ชีวิตของเขาในตอนนั้นหากเปรียบเป็นกราฟคงเป็นการพุ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง เพราะหลังจบรายการที่บ้านเกิดของเขาบรรดาสโมสรดังของยุโรปต่างติดต่อมายัง เฟเยนูร์ด ชนิดที่หัวกระไดของสโมสรไม่แห้งสักวินาทีเดียว
"มันเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษอย่างมาก ในศึก ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพส์ ทุกๆอย่างดำเนินไปด้วยดี และเมื่อมีหลายสโมสรเริ่มถามหาคุณมันเหมือนกับฝันที่เป็นจริง ผมต้องทำการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่ผมต้องการทำ" เดรนเธ่ กล่าวผ่าน บีบีซี สปอร์ต สื่อดังของอังกฤษ
แน่นอนว่าผลงานของแข้งรายนี้ที่เล่นได้ทั้งแบ็กซ้าย, ปีกซ้าย และ มิดฟิลด์ ไปเข้าตาของบรรดายักษ์ใหญ่ในยุโรป บรรดาสื่อก็พยายามยกยอและนำแข้งรายนี้ไปเปรียบเทียบกับตำนานในอดีตของทัพอัศวินสีส้มไม่ว่าจะเป็น คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ หรือ เอด็การ์ ดาวิดส์ ในแง่ของภาพลักษณ์ทรงผมที่เหมือนจะถอดแบบกันมา
หรือจะเป็นบรรดาอดีตตำนานของวงการฟุตบอลไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ ฟีโก้, อันเดรีย ปีร์โล่ หรือ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ที่ต่างเคยผ่านการคว้าแชมป์รายการนี้มาแล้ว ก็ถูกหยิบโยงมายังเส้นทางของ เดรนเธ่
ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เพราะผลงานของเด็กหนุ่มรายนี้มันโดดเด่นและเข้าตาอย่างมาก ด้วยการเล่นที่สนุกและเก่งกาจเกินวัยจึงไม่ใช่สิ่งที่เกินเลยหากจะถูกสื่อยกยอขนาดนั้น
จากการเปิดเผยของ เดรนเธ่ ในเวลาต่อมาที่ระบุว่ามีสโมสรใหญ่อย่าง เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ บาร์เซโลน่า ติดต่อเพื่อขอดึงนักเตะรายนี้ไปร่วมทีม แต่เด็กหนุ่มในตอนนั้นตัดสินครั้งสำคัญในชีวิตด้วยการขอเลือกตามความชอบของ 'พ่อเลี้ยง' ตนเอง
"ผมเลือก เรอัล มาดริด เพราะว่าพ่อเลี้ยงของผมเป็นแฟนตัวยงของพวกเขา"
เดรนเธ่ เผยถึงสาเหตุที่เลือกย้ายเล่นให้กับ ราชันชุดขาว ด้วยค่าตัว 14 ล้านยูโรในสมัย แม้ดูจะน้อยนิดในสมัยนี้ แต่ย้อนกลับไป 12 ปีที่แล้วเงินจำนวนดังกล่าวกับเด็กอายุเพียง 20 ปีถือว่ามากมายและเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก
"บางครั้งคุณต้องคว้าโอกาสในทันที หลายๆคนอาจจะพูดว่า 'มันเร็วเกินไปสำหรับเขา ทำไมเขาต้องจาก เฟเยนูร์ด ไปด้วย?' นั่นคือฟุตบอล คุณตัดสินใจเพื่อประสบความสำเร็จ แต่บางทีพวกมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณต้องการ"
"ผมรู้สึกเหมือนกับอยู่ที่บ้านในทันที (ย้ายไปเล่นให้ เรอัล มาดริด) เพราะนักเตะในทีมดีกับผมมากและช่วยเหลือผม พวกเขาเป็นดาวดังแต่กลับปฏิบัติกับผมเหมือนเด็กทั่วๆไป"
หลายคนคิดว่าเส้นทางของ เดรนเธ่ จะดำเนินไปด้วยดีเพราะมีเท้าที่ยอดเยี่ยมที่แสดงออกมาถือเป็นตัวชี้นำที่ดี รวมไปถึงการประเดิมสนามด้วยลูกยิงไกลกว่า 30 หลาในเกม สแปนิช ซูเปอร์ คัพ กับ เซบีย่า และยังได้โอกาสจาก แบร์นด์ ชูสเตอร์ ให้ลงสนามอย่างต่อเนื่องรวมไปถึงคว้าแชมป์ ลา ลีกา ตั้งแต่ซีซั่นแรกในสเปน ทว่าทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นตามที่นักเตะคาดหวังไว้เสียเท่าไหร่ เพราะหลังจากนั้นทุกอย่างเริ่มดิ่งลง
หนึ่งปัจจัยสำคัญคงเป็นการเปลี่ยนกุนซือหลายครั้งในช่วงเวลาดังกล่าวเพราะหลังจากพาทีมคว้าแชมป์ไม่นาน ชูสเตอร์ ก็โดนอัปเปหิออกไปจาก ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ต่อด้วย ฆวนเด้ รามอส และ มานูเอล เปเยกรีนี่ ที่อยู่ยังไม่ครบปีก็ต้องลาจากตำแหน่ง
มาถึงยุคสมัยของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่โยกไปทำงานในแดนกระทิง สิ่งนั้นเปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของ เดรนเธ่ ที่ต้องพิจารณาถึงอนาคตของตนเองอีกครั้ง
นอกจากนั้นด้วยความคาดหวังที่สูงจากบรรดาแฟนบอล บ่อยครั้งที่ เดรนเธ่ ต้องตกเป็นเป้าโจมตี ซึ่งนักเตะรานี้ยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่าเรื่องนี้มีส่วนทำให้ความมั่นใจและความอดทนของตนเองลดลงอย่างมาก
"ตอนนั้นผมยังเป็นนักเตะหนุ่มที่ย้ายไปยังสโมสรใหญ่ กำลังเล่นต่อหน้าแฟนบอลกว่า 90,000 ในการลงเล่นในรังทุกนัด"
"มีช่วงเวลาที่ผมเจอกับปัญหา แต่คนที่อยู่รอบๆตัวผมต่างเข้ามาคุยและช่วยให้ผมอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง"
กระนั้นเขาก็ตัดสินใจย้ายออกจาก ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เพื่อมองหาโอกาสการลงสนามอย่างต่อเนื่องและตกลงไปร่วมทีม เอร์กูเลส ในสเปนด้วยสัญญายืมตัว
แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นตามที่ เดรนเธ่ คาดหวังอีกครั้ง แม้จะมีช่วงเวลาที่ดีแต่เมื่อสโมสรประสบปัญหาและไม่ยอมจ่ายค่าจ้าง ส่งผลให้แข้งชาวฮอลแลนด์ไม่พอใจและเกิดการพยศขึ้นมา
"มันดีมากๆแต่ก็แย่เช่นกัน ผมมีช่วงเวลาที่ดีกับการเล่นที่นั่นแต่มันเป็นช่วงเวลาที่แย่ของสโมสร พวกเขาไม่ได้จ่ายค่าแรงและนั่นคือเรื่องจริง ในตอนนั้นมันไม่ง่ายเลย ผมพูดว่า 'ถ้าพวกเขาไม่จ่ายค่าแรงฉันก็จะไม่ไปซ้อม'"
แน่นอน เดรนเธ่ ประท้วงและทำเช่นนั้นจริงๆ และกลายเป็นเขาที่โดนแฟนบอลจ้องเล่นงานเมื่อทีมมีผลงานที่ย่ำแย่ ซึ่งจุดนี้หากมองแบบเปิดใจ นักเตะต้องกินต้องใช้ และพวกเขาใช้ฝีเท้าและฟุตบอลในการหาเลี้ยงชีพ เมื่อไม่มีค่าตอบแทนบางครั้งมันก็หมดแรงจูงใจ
ทำให้ช่วงเวลาของเขากับ เอร์กูเลส จบลงแบบไม่สวย แต่โอกาสก็เกิดขึ้นอีกครั้งโดยหนนี้เป็น เอฟเวอร์ตัน ที่ตอนนั้นมี เดวิด มอยส์ คุมทีมยืมตัวไปใช้งาน
หลายคนรวมไปถึง เดรนเธ่ คิดว่านี่จะเป็นโอกาสเกิดใหม่อีกครั้งกับลีกที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก แต่ลงท้ายก็ไม่ต่างกับตอนเล่นในสเปน แต่หนนี้มีเรื่องของการเที่ยวและทำตัวเสเพลเข้ามาเอี่ยวจนกุนซือต้องตำหนิหลายครั้งและถึงขั้นเนรเทศออกจากทีม
"บางครั้งหลายสิ่งเกิดขึ้นมาและผมโดนลงโทษจากสิ่งที่ผมทำ ตอนนี้มันก็ผ่านมา 7 ปีแล้ว การกระทำแบบไม่ยับยั้งชั่งใจที่ผมเคยทำ บางเรื่องผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยทำลงไป"
"ผมโฟกัสเรื่องฟุตบอลเสมอ คุณอาจจะคิดว่าผมไม่มีสมาธิกับมันแต่ผมมีตลอด บางคนดูและอ่านหลายๆเรื่องและพวกเขาก็แสดงความเห็นออกมา แต่พวกเขาไม่ได้รู้จักผมเป็นการส่วนตัว มันไม่ได้ทำให้ผมกังวล"
เส้นทางของเด็กหนุ่มที่ถูกจับตามองอย่างมากกลับกลายต้องตกต่ำลงเรื่อยๆ หลังหมดสัญญากับ เรอัล มาดริด ไปแล้ว เดรนเธ่ ระหกระเหินไปทั้งรัสเซีย กลับมาเล่นในอังกฤษกับ เร้ดดิ้ง และ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ รวมไปถึงในตุรกี
ท้ายที่สุดเข้าเดินทางไปยังตะวันออกกลางเพื่อลงเล่นให้กับ บานี่ ยาส สโมสรของ สหรัฐอาหรับเอมิเร็ตส์ ซึ่งที่นั่นคือสโมสรสุดท้ายก่อนที่ เดรนเธ่ ในวัย 29 ปีจะตัดสินใจอำลาสนาม
ถือเป็นเรื่องที่ช็อกแฟนบอลไม่น้อยกับเด็กหนุ่มที่เคยถูกคาดหมายว่าจะพุ่งสูงและเป็นอนาคตของวงการฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ส เส้นทางของเขาเปรียบได้กับนิยายที่ได้ย้ายไปยังสโมสรที่ยิ่งใหญ่ แต่ด้วยปัจจัยต่างๆทำให้เขาไปไม่ถึงฝั่งฝัน แม้จะมีโอกาสอีกมากมายหลายครั้ง แต่มันก็ไม่สามารถกลับไปยังจุดเดิมได้
เรื่องนี้บรรดานักข่าวในยุโรปต่างมองว่าการใช้ชีวิตของนักเตะมีส่วนอย่างมาก ทั้งการชอบออกไปย่ำราตรี ออกเที่ยว จัดงานรื่นเริง และเป็นเสือผู้หญิง ต่างเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เส้นทางในอาชีพสั้นลง
"2 ปีที่ผมหยุดเล่นไป ผมต้องการลองสิ่งใหม่ให้ชีวิต ผมต้องออกมาจากตรงนั้นเพื่อมองหาตัวตนของตนเองอีกครั้ง"
ถึงตรงนี้ เดรนเธ่ ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้อยู่เฉยๆเพราะที่ผ่านมาแม้จะถูกมองในแง่ลบกับพฤติกรรมนอกสนามที่ใช้ชีวิตแบบโลดโผน แต่ด้วยการที่เขาพบปะคนมากมายทำให้เขามีช่องทางในการทำธุรกิจ
นอกจากการทำหน้าที่ แร็ปเปอร์ นาม Roya2Faces แล้ว เดรนเธ่ ยังเคยทำบริษัทเพลง, เปิดร้านเสื้อผ้า, ร้านน้ำหอม และต้องดูแลลูกๆอีก 6 คน ซึ่งถือเป็นงานที่เขาต้องรับผิดชอบในตอนนี้
"ผมเคยทำงานเพลงแต่มันยากที่จะพูดว่าผมสนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมยุ่งกับหลายสิ่งที่แตกต่างกัน ผมชอบดนตรี ในตอนที่ผมมีความสุขผมก็ฟังเพลง ไม่ต่างจากตอนเศร้าผมก็ฟังเพลง มันทำให้ผมรู้สึกดีเสมอ"
หลังจากลองทำอะไรมากมายในช่วงเว้นว่างจากฟุตบอล แต่เมื่อหน้าร้อนปี 2018 ที่ผ่านมาเขาได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจจาก เฮงค์ เฟรเซอร์ อดีตเจ้านายที่เสนอสัญญา 1 ปีให้ไปร่วมงานกันที่ สปาร์ต้า ร็อตเตอร์ดัม ซึ่งที่นั่นเขามีส่วนสำคัญในการพาทีมเลื่อนกลับไปยังลีกสูงสุดอีกครั้ง
แม้หลังจากนั้นเขาจะไม่ได้รับการต่อสัญญา แต่มันก็เป็นการเดินทางที่สำคัญอีกบทหนึ่งในชีวิตของ เดรนเธ่ ที่ได้กลับไปยังเวทีที่เขาคุ้นเคย
ถึงตรงนี้ เดรนเธ่ โยกตัวเองมาเล่นให้กับ โคซัคเค่น บอยส์ ทีมระดับดิวิชั่น 3 ของ เนเธอร์แลนด์ส ซึ่งที่นี่เขามีโอกาสลงเล่นร่วมกับญาติของเขา
"ไม่เสียใจเลย เพราะทุกๆอย่างเกิดขึ้นมานั้นล้วนมีเหุตผล ผมไม่เสียใจกับอะไรก็ตามเพราะผมมีความสุขกับที่ที่ผมอยู่ และผมมีความสุขกับที่ที่ผมเคยไปและใช้ชีวิต ผมใช้ชีวิตกับปัจจุบันเท่านั้น"
จาก ซานติอาโก้ เบร์นาเบว มาถึง สปอร์ตพาร์ค เดอ ซวาเอียร์ ที่มีความจุเพียง 2,500 คน กระนั้น เดรนเธ่ ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะเขามีความสุขกับสิ่งที่เป็นไป และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตของชายที่ชื่อ รอยสตัน เดรนเธ่
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT