เทพนิยายบทใหม่!?!?
สเปน เริ่มต้นฟุตบอลโลก 2018 ด้วยความวุ่นวายหลัง หลุยส์ รูเบียเลส ประธานสหพันธ์ฟุตบอลสเปนสั่งปลด จูเลน โลเปเตกี ออกจากตำแหน่งเทรนเนอร์ก่อนการลงเล่นนัดแรกกับ โปรตุเกส เพียง 2 วัน ซึ่งเราคงไม่ย้อนไปพูดถึงเหตุผลที่เด้งโลเปเตกีอีกครั้ง
แต่จะมาวิเคราะห์ผลงานการคุมทีม 3 นัดของ เฟร์นานโด เอียร์โร่ ซึ่งนำทีมกระทิงคว้าแชมป์กลุ่ม บี แบบทุลักทุเล
เอียร์โร่ ขยับจากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของสหพันธ์ฟุตบอลสเปนมานั่งเก้าอี้เทรนเนอร์ทีมชาติสเปนแทนโลเปเตกเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ทว่างานของเทรนเนอร์วัย 50 ปีไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
เขาทำงานภายใต้ความกดดันท่ามกลางความคาดหวังสูงต่อทัพ'ลา โรฆา'ที่แฟนบอลร่วมชาติตั้งความหวังว่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์สำคัญที่รัสเซีย
เอียร์โร่ เคยมีประสบการณ์โชกโชนในฐานะนักเตะ เขาเป็นหนึ่งในแข้งสำคัญของ เรอัล มาดริด ในช่วงปี 1989-2003 เคยลงเล่นให้ทีมชาติสเปน 89 นัด แต่มีประสบการณ์ในฐานะเทรนเนอร์เพียงน้อยนิด
เขาเคยรับบทเป็นผู้ช่วยของ คาร์โล อันเชล็อตติ เมื่อครั้งยังเป็นเทรนเนอร์ของ เรอัล มาดริด ในซีซั่น 2014-15 ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นนายใหญ่เต็มตัวครั้งแรกกับ เรอัล โอเบียโด้ ในฤดูกาล 2016-17 ทว่าเป็นเพียงการคุมทีมระดับเซกุนด้าเท่านั้น
เอียร์โร่ เข้ามารับตำแหน่งเทรนเนอร์ทีมชาติสเปนเพื่อคุมทีมลงเล่นรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกแบบไม่คาดฝัน มันเป็นการขยับตำแหน่งแบบก้าวกระโดดหรือข้ามขั้นตอนก็ว่าได้ แต่นั่นคือสิ่งที่รูเบียเลสตัดสินใจเลือกแล้ว
สเปน ภายใต้การคุมทีมของ จูเลน โลเปเตกี ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เทรนเนอร์ชาวบาสโก้ทำสถิติชนะ 14 เสมอ 6 จากการคุมทัพกระทิงลงเล่น 20 เกม ยิง 61 ประตู เสีย 13 ประตูและยังเก็บคลีนชีตถึง 11 เกม
ขณะที่ เอียร์โร่ ไม่ได้เข้ามาปรับเปลี่ยนแบบพลิกฝ่ามือ เทรนเนอร์วัย 50 ปีเลือกใช้ระบบและรูปแบบเหมือนที่นักเตะเคยเล่นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนดูเหมือนว่านักเตะกระทิงจะเล่นกันตามความเคยชินตลอด 3 เกมของรอบแบ่งกลุ่ม
ถ้าถามว่า เอียร์โร่ มีดีพอที่จะนำทัพ'ลา โรฆา'ประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลกครั้งนี้หรือไม่ มันคงเป็นคำถามที่ตอบยาก
หากพิจารณาจากผลงาน 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่มของ สเปน อาจบอกได้ว่าทีมของเอียร์โร่มีโอกาสไปถึงจุดหมายปลายทางไม่มากนัก
การคุมทีมลงเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ สิ่งสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของทีมคือประสบการณ์ของเทรนเนอร์ ซึ่งมันเป็นจุดอ่อนของเอียร์โร่
เทรนเนอร์วัย 50 ปียึดระบบและตัวผู้เล่นตามแนวทางของโลเปเตกีลงประเดิมสนามกับ โปรตุเกส ทว่าสิ่งที่เอียร์โร่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างจากเทรนเนอร์ชาวบาสโก้คือการตัดสินใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
ขณะที่ สเปน พลิกกลับมาเป็นฝ่ายขึ้นนำ 3-2 เอียร์โร่ เลือกเปลี่ยนตัวผู้เล่นด้วยการส่ง ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ ยาโก้ อัสปาส ลงเล่นแทน อันเดรส อีเนียสต้า กับ ดีเอโก้ คอสต้า ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผู้เล่นแบบตำแหน่งต่อตำแหน่งยังเป็นเหตุผลที่พอเข้าใจได้
ทว่าการเลือกเปลี่ยนตัวผู้เล่นคนสุดท้ายช่วงนาที 86 ด้วยการส่ง ลูกัส บาซเกซ ลงเล่นแทน ดาบิด ซิลบา แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ที่อ่อนด้อยของเทรนเนอร์ค่อนข้างชัดเจน
ช่วงเวลาดังกล่าว สเปน ยังเป็นฝ่ายนำ 3-2 แต่รูปเกมตกเป็นรอง โปรตุเกส ที่เร่งเครื่องเพื่อตามตีเสมอ ถ้าหากเป็นเทรนเนอร์ที่มีประสบการณ์ เขาน่าจะเลือกส่ง ซาอูล ญีเกซ ลงสนามมากกว่า ลูกัส บาซเกซ เพื่อลงไปช่วยไล่บอลแดนกลางรักษาสกอร์นำจนกระทั่งจบเกม แต่การเปลี่ยนตัวของเอียร์โร่ไม่ได้ช่วยปรับเกมจนท้ายที่สุดถูกตีเสมอจากการยิงฟรีคิกของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
นัดที่สองกับ อิหร่าน ซึ่ง สเปน ของเอียร์โร่คว้าชัยชนะแบบโชคช่วยหลังแนวรับคู่แข่งเตะสกัดบอลมาโดนหน้าแข้ง ดีเอโก้ คอสต้า เข้าประตูในช่วงต้นครึ่งหลังกลายเป็นประตูโทนของเกมดังกล่าว
เอียร์โร่ ปรับทีมจากเกมแรกเพียง 2 ตำแหน่งหลัง ดาเนียล การ์บาฆาล ฟิตกลับมาลงประจำการแบ็กขวาแทน นาโช่ เฟร์นานเดซ ขณะที่ ลูกัส บาซเกซ ได้ออกสตาร์ทแทน โกเก้ ซึ่งกลายเป็นข้อกังขาให้บรรดานักวิเคราะห์พอสมควร
อิหร่าน เป็นทีมที่เล่นตั้งรับเป็นหลักโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญหน้ากับ สเปน ทีมดังจากตะวันออกกลางจะวางแผนมาเล่นตั้งรับลึกมากกว่าเดิมซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าเกม
ทว่าเอียร์โร่กลับเลือกใช้งาน ลูกัส บาซเกซ ซึ่งเป็นนักเตะที่มีสปีดต้นจัดและไปกับบอลด้วยความเร็วได้ดี แต่มันไร้ประโยชน์ในการเล่นกับ อิหร่าน เนื่องจากปีกวัย 26 ปีจาก เรอัล มาดริด ไม่มีพื้นที่เล่นมากพอจะใช้จุดแข็งของตนเองเล่นงานแนวรับคู่แข่ง
ดังนั้นการเลือกส่งมิดฟิลด์อย่าง ติอาโก้ อัลกันตาร่า, โกเก้ หรือ ซาอูล ญีเกซ ที่ช่วยคุมจังหวะเกมได้ดีและยังมีลูกยิงไกลเป็นทีเด็ดน่าจะสร้างประโยชน์ให้เกมของทีมกระทิงมากกว่า แต่โชคดีที่ สเปน ยังเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะจากการทำประตูแบบไม่ตั้งใจของ ดีเอโก้ คอสต้า
เกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มกับคู่แข่งที่ตกรอบไปก่อนหน้านี้อย่าง โมร็อกโก เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่ง สเปน ตามตีเสมอแบบหืดจับจากการยิงประตูในช่วงท้ายเกมของ ยาโก้ อัสปาส ที่ต้องใช้เทคโนโลยีตัดสินก่อน'วีเออาร์'จะช่วยกู้หน้าทัพ'ลา โรฆา'สำเร็จ
การตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้เล่นของเอียร์โร่ยังเป็นข้อสงสัยไม่ต่างจาก 2 เกมแรก ยาโก้ อัสปาส ซึ่งลงมาแทน ดีเอโก้ คอสต้า อาจทำหน้าที่ได้ดีจนกระทั่งยิงตีเสมอให้ทัพกระทิงสำเร็จ แต่ มาร์โก อาเซนซีโอ กับ โรดริโก้ โมเรโน่ ยังไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจเปลี่ยนตัวที่สร้างประโยชน์ต่อทีมมากนัก
จากผลงานการคุมทีมลงเล่น 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่มของ เอียร์โร่ ซึ่งทำสถิติชนะ 1 เสมอ 2 ยิง 6 ประตู เสีย 5 ประตู ถือว่าทำได้แค่'สอบผ่าน'และยังเป็นความโชคดีของทัพ'ลา โรฆา'ที่คว้าแชมป์กลุ่ม บี แบบคาดไม่ถึงทั้งการทำประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกมของ อัสปาส รวมถึง โปรตุเกส ที่พลาดท่าถูก อิหร่าน ไล่เจ๊าในช่วงท้ายเกมเช่นเดียวกัน
สเปน คว้าตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมในฐานะแชมป์กลุ่มตามเป้าหมาย ด่านต่อไปของทัพ'ลา โรฆา'คือการเผชิญหน้ากับเจ้าภาพ รัสเซีย ที่ นิชนี่ นอฟโกร็อด ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้
ด้วยศักยภาพทีมและระบบการเล่นที่เหนือกว่า ทัพ'ลา โรฆา'น่าจะฝ่าด่านเจ้าภาพตามเป้าหมาย แต่โจทย์ยากของเอียร์โร่จะเริ่มต้นตั้งแต่รอบควอเตอร์ไฟนัลซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะต้องเผชิญหน้ากับทีมฟอร์มแรงอย่าง โครเอเชีย ซึ่งมีดีพอที่จะเขี่ยทุกทีมพ้นเส้นทางของพวกเขา
ขุมกำลังทีมกระทิงชุดนี้มีความแข็งแกร่งพอที่จะก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์โลก แต่'จุดอ่อน'ที่เห็นได้ชัดเจนอยู่ที่เทรนเนอร์ ซึ่งถ้าหากเอียร์โร่สามารถนำลูกทีมทะยานเข้าไปชูโทรฟี่แชมป์โลกสำเร็จ มันคงไม่ต่างจาก'เทพนิยาย'เดนมาร์ก หลังการคว้าแชมป์ยูโรเมื่อปี 1992 หรือการคว้าแชมป์ยูโรเมื่อปี 2004 ของ กรีซ
ถึงตอนนี้สาวก'ลา โรฆา'คงได้แต่คาดหวังว่า เอียร์โร่ จะสร้าง'เทพนิยาย'บทใหม่ของวงการลูกหนังเท่านั้น
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT