ปัญหาที่ต้องแก้ของหมีกับค้างคาว
บาร์เซโลน่า กับ เรอัล มาดริด ออกสตาร์ตสมฐานะทีมเต็งด้วยการคว้าชัยชนะ 3 นัดรวดทะลวงคู่แข่งรวมกันอย่างน้อย 10 ประตู
ขณะที่สองม้ามืดอย่าง แอตเลติโก มาดริด กับ บาเลนเซีย กลับออกอาการหัวทิ่มหัวตำตั้งแต่ช่วงต้นซีซั่น
แอตเลติโก มาดริด ถูกมองว่าจะก้าวขึ้นมาท้าทายสองมหาอำนาจลูกหนังเมืองกระทิงแบบเต็มตัวหลังการสร้างประวัติศาสตร์สองอย่างของสโมสรในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
ทีมตราหมีประเคนค่าเหนื่อยสูงสุดเป็นประวัติการณ์สโมสรปีละ 20 ล้านยูโรเพื่อขยายสัญญา อองตวน กรีซมันน์ ไปจนถึงปี 2023 จนเกิดวาทะกรรมจากกองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสในเวลาต่อมาว่า'My fans, my team, MY HOME!!!'
แอตเลติโก มาดริด ยังจ่ายเงิน 70 ล้านยูโรกระชากตัว โตม่าส์ เลอมาร์ มิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสมาจาก โมนาโก ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมากลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร
ทว่าทีมตราหมีเก็บได้เพียง 4 แต้มจากการลงเล่น 3 เกมแรก ซึ่งเป็นการออกสตาร์ตแย่สุดนับตั้งแต่ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เข้ามากุมบังเหียนในช่วงเดือนธันวาคมปี 2011 โดยตกเป็นฝ่ายตามหลังสองทีมนำถึง 5 คะแนน
2 ปีก่อนหน้านี้ในฤดูกาล 2016-17 กับ 2017-18 ทัพ'โลส โกลโชเนโรส'เก็บ 5 แต้มจากการลงเล่น 3 นัดแรก สถิติชนะ 1 เสมอ 2 เท่านั้น
ในซีซั่น 2015-16 ทีมตราหมีเก็บ 6 แต้ม สถิติชนะ 2 แพ้ 1, ฤดูกาล 2014-15 เทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์นำทีมออกสตาร์ตด้วยการเก็บ 7 แต้มจากการลงเล่น 3 นัดแรกเท่ากับซีซั่น 2012-13 ส่วนฤดูกาล 2013-14 แอตเลติโก มาดริด ออกสตาร์ตดีที่สุดด้วยการคว้าชัยชนะ 3 นัดรวด
ผลงานช่วงออกตัวย่ำแย่ของ แอตเลติโก มาดริด ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการจบสกอร์ที่ขาดความเฉียบคมแม้ว่าจะมีคู่กองหน้าอันตรายอย่าง อองตวน กรีซมันน์ กับ ดีเอโด้ คอสต้า ก็ตาม แต่ทั้งคู่ทำผลงานต่ำกว่าระดับมาตรฐาน
ยกตัวอย่างเกมล่าสุดที่พวกเขาปราชัยบนสังเวียน'อาบันก้า-บาไลโดส'ต่อ เซลต้า บีโก้ 0-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทีมตราหมีมีโอกาสสับไกยิง 10 ประตู แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ตรงกรอบประตูใกล้เคียงสุดคือการยิงชนเสาของกรีซมันน์ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
นั่นเป็นสถิติย่ำแย่สุดของทีมตราหมียุค ซิเมโอเน่ ในรอบ 5 ปีหรือ 1,778 วัน นับตั้งแต่เกมกับ เอสปันญ่อล เมื่อปี 2013
ซิเมโอเน่ ยอมรับว่าลูกทีมขาดความเฉียบคมในจังหวะจบสกอร์และนั่นเป็นเรื่องที่ทีมต้องเร่งปรับปรุงเพื่อทำผลงานให้ดีขึ้นในอนาคต
'ผมไม่กังวลกับผลการแข่งขัน ผมรู้สึกสงบนิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะสิ่งนี้เป็นการปลุกให้เราตื่นขึ้นมา'
ขณะที่ บาเลนเซีย ออกสตาร์ตย่ำแย่กว่าหลังเก็บได้เพียง 2 แต้มจากการลงเล่น 3 นัดแรกของซีซั่น ซึ่งเป็นผลงานแย่สุดนับตั้งแต่ มาร์เซลีโน่ การ์เซีย โตราล ทำงานบนเวทีลีกา
มาร์เซลีโน่ เริ่มต้นทำงานบนเวทีลีกาครั้งแรกกับ เรอัล ซาราโกซ่า ช่วงฤดูกาล 2009-10 เขานำทีมดังแคว้นอารากอนเก็บ 3 แต้มจากการลงเล่น 3 นัดแรก ก่อนจะถูกปลดออกจากตำแหน่งเทรนเนอร์หลังจบนัดที่ 10 ของซีซั่น
เทรนเนอร์ชาวอัสตูเรียโน่กลับมาคุมทีมระดับลีกาอีกครั้งกับ บียาร์เรอัล ในฤดูกาล 2013-14 โดยเริ่มต้นซีซั่นไม่ต่างกันหลังเก็บได้เพียง 3 แต้มจากการนำต้นสังกัดลงเล่น 3 เกมแรก ทว่าท้ายที่สุด มาร์เซลีโน่ นำทีม'เรือดำน้ำเหลือง'จบอันดับ 6 ด้วยการมี 59 แต้ม
มาร์เซลีโน่ เริ่มต้นซีซั่นก่อนกับ บาเลนเซีย ด้วยการนำทีมค้างคาวเก็บ 5 คะแนนจากการลงเล่น 3 เกมแรก แต่ทีมของเทรนเนอร์วัย 53 ปีออกสตาร์ตด้วยการเก็บเพียง 2 แต้มจากการลงเล่น 3 นัดแรกของฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตามเทรนเนอร์ชาวอัสตูเรียโน่ไม่รู้สึกตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากฤดูกาลเพิ่งผ่านไปเพียง 3 นัดเท่านั้น 'ผมไม่รู้สึกกังวลกับการเก็บได้เพียง 2 คะแนนจาก 9 แต้ม จนกว่าเราจะผ่านไป 1 ใน 4 หรือ 3 ของการแข่งขัน เพียงแต่ตอนนี้เราไม่แฮปปี้เพราะเรายังควานหาชัยชนะไม่เจอเท่านั้น'
ซิเมโอเน่ กับ มาร์เซลีโน่ ต่างไม่กังวลกับผลงานในการลงเล่น 3 เกมแรก ทั้งคู่ต่างเป็นเทรนเนอร์ที่มีประสบการณ์ทราบดีว่าจะหาทางแก้อย่างไร ก่อนที่จะนำทีมกลับมาลงสนามอีกครั้งหลังเบรคให้โปรแกรมทีมชาติเกือบ 2 สัปดาห์
แต่ช่วงหยุดพักหลีกทางให้'ฟีฟ่า เดย์'มีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกัน
ข้อดีคือเทรนเนอร์และนักเตะจะมีเวลาทบทวนความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเพื่อหาทางแก้ไขปรับปรุงพัฒนาผลงานให้ดีขึ้น แต่ข้อเสียคือหลายสโมสรมีนักเตะเหลืออยู่ไม่มากนักโดยเฉพาะทีมยักษ์ใหญ่ที่มีผู้เล่นกระจายกันไปเล่นให้ทีมชาติก็เกือบทั้งทีม
ยกตัวอย่าง แอตเลติโก มาดริด ที่ต้องปล่อยนักเตะไปเล่นทีมชาติรวมกันถึง 14 คน ดังนั้นสถานการณ์มันจึงไม่เอื้อประโยชน์ต่อการทำงานในช่วง 10 กว่าวันนี้ของ ซิเมโอเน่
หลังช่วงพักเบรคให้โปรแกรมทีมชาติ ลูกทีมของเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์จะต้องลงเล่นทุกๆ 3-4 วันถึง 7 เกมติดต่อกันตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายนจนถึงต้นตุลาคม
เออิบาร์ จะเป็นคู่ปรับทีมแรกในวันที่ 15 กันยายน, โมนาโก วันที่ 18 กันยายน, เคตาเฟ่ วันที่ 22 กันยายน, อ้วยส์ก้า วันที่ 25 กันยายน, เรอัล มาดริด วันที่ 29 กันยายน, คลับ บรูช วันที่ 3 ตุลาคม และ เรอัล เบติส วันที่ 6 หรือ 7 ตุลาคม
ขณะที่คิวลงสนามของ บาเลนเซีย ก็เหมือนกับทีมตราหมีที่ต้องรับมือกับโปรแกรมชุกหลังพักเบรคทีมชาติ ต่างกันตรงที่ทีมค้างคาวมีนักเตะติดทีมชาติน้อยกว่าเท่านั้น
บาเลนเซีย มีคิวดวล เรอัล เบติส วันที่ 15 กันยายน, ยูเวนตุส วันที่ 19 กันยายน, บียาร์เรอัล วันที่ 23 กันยายน, เซลต้า บีโก้ วันที่ 26 กันยายน, เรอัล โซเซียดาด วันที่ 29 กันยายน, แมนฯยูไนเต็ด วันที่ 2 ตุลาคม และ บาร์เซโลน่า วันที่ 6 หรือ 7 ตุลาคม ก่อนพักเบรคให้โปรแกรม'ฟีฟ่า เดย์'อีกรอบ
แอตเลติโก มาดริด เป็นทีมที่มีต้นทุนเดิมดีกว่า บาเลนเซีย โดยเฉพาะการเล่นเกมรับที่แข็งแกร่งเหนียวแน่นเพียงแค่ ซิเมโอเน่ ยังต้องปรับจูนการเล่นเกมรุกให้มีความเฉียบคมกว่า 3 นัดแรกเท่านั้น ขณะที่ มาร์เซลีโน่ ยังมีปัญหาในการเล่นเกมรับที่ต้องแก้ไขหลังทีมค้างคาวเสียถึง 5 ประตูจาก 3 เกมที่ผ่านมา
'การเสียถึง 5 ประตูจาก 3 เกมแรกของเราไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย มันไม่ใช่มาตรฐานของเรา'มาร์เซลีโน่ยอมรับ
'ถ้าเรายังเล่นในลักษณะนี้ต่อไป เราจะต้องยิงอย่างน้อย 3 ประตูเพื่อเป็นผู้ชนะในเกม ดังนั้นมันเป็นเรื่องชัดเจนว่านี่เป็นงานหนักที่ต้องสะสาง'
'เรายังไม่ดีพอตอนที่เราไม่ได้เป็นฝ่ายครองบอล ซึ่งเราอาจเพลี่ยงพล้ำให้ฝ่ายตรงข้ามได้ ดังนั้นเราจะต้องทำงานหนักเพื่อสิ่งนี้'
'เราจะต้องทำให้ทีมเราแข็งแกร่งขึ้น ยากที่จะเอาชนะและไม่เสียประตูง่ายๆเหมือนที่ผ่านมา'
มาร์เซลีโน่ ทราบดีถึงจุดอ่อนของบาเลนเซีย เพียงแต่เขาจะสามารถทำให้ทีมค้างคาวเสียประตูน้อยลงอย่างที่คิดหรือไม่เท่านั้น
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT