การตัดสินใจผิดพลาดของ'เดรอสซี่'
ดานิเอเล่ เด รอสซี่ อดีตมิดฟิลด์วัย 41 ปี ทำความฝันในวัยเด็กของเขากลายเป็นจริงด้วยการค้าแข้งกับ โรม่า ยาวนานถึง 18 ฤดูกาล แต่เขายอมรับว่ามันเป็นการตัดสินใจผิดพลาดเช่นกัน เพราะนั่นทำให้มีโอกาสคว้าแชมป์น้อยกว่าการย้ายไปเล่นกับสโมสรอื่น
เด รอสซี่ เกิดและเติบโตในกรุงโรม เขาเป็นทั้งอดีตนักเตะและผู้จัดการทีมของทัพ จัลโลรอสซี่ ซึ่งเป็นสโมสรตัวแทนของท้องถิ่นที่เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมตั้งแต่อายุ 12 ปี
เขาเริ่มต้นเส้นทางจากกองหน้าอายุน้อยและไร้ประสบการณ์จนกลายเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ดีสุดที่ฝูงชนใน สตาดิโอ โอลิมปิโก้ เคยจับตามองในสนาม
เด รอสซี่ บอกเล่าถึงอาชีพค้าแข้งของเขากับ แกรี่ เนวิลล์, รอย คีน, เจมี่ คาร์ราเกอร์ และ เอียน ไรท์ ในรายการ Overlap Podcast โดยยอมรับว่าความตั้งใจที่สวมเสื้อตัวเดียวในอิตาลีและยุโรปเป็นสิ่งที่เริ่มต้นจากความรักที่ผู้คนมีต่อสโมสรแห่งนี้
'ผมอยู่ในกรุงโรม เพราะความรักที่ผู้คนมีต่อสโมสรแห่งนี้ ทุกคนในโรมต่างพูดว่าพวกเขาต้องการเล่นให้ โรม่า และบางครั้งมันก็เกิดขึ้น'
'เมื่อคุณอยู่ในกรุงโรม คุณต้องเลือก บางครั้งคุณโชคดีพอที่คุณสามารถเลือกได้ว่าจะย้ายไปสโมสรที่ดีกว่าหรืออยู่ที่นี่ต่อไป'
'ผมตัดสินใจแบบนี้ และมันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดในแง่ของฟุตบอล แต่สำหรับผม มันก็โอเค ผมจะไม่จากไปด้วยความเสียใจ'
'ผมติดตามฟุตบอล อังกฤษ มาตั้งแต่เด็ก' เด รอสซี่ กล่าว 'ผมติดตาม แมนฯยูไนเต็ด มากกว่าเล็กน้อย ผมสนใจคุณ (รอย คีน) และสิ่งที่คุณสร้างไว้ ผมชอบมันมาก'
'ผมเกือบจะย้ายมาเล่นใน อังกฤษ มันเป็นตัวเลือกแรกถ้าผมย้ายออกจากกรุงโรม แต่มันไม่เกิดขึ้น นั่นคือ แมนฯยูไนเต็ด สำหรับผม, ผมมีโอกาสย้ายไปเล่นกับทีมอื่นบ้างเหมือนกัน แต่ แมนฯยูไนเต็ด คือทีมที่ผมมองว่าเป็นสโมสรดีที่สุดใน อังกฤษ'
เด รอสซี่ พูดถึงเรื่องที่ มาร์เชลโล่ ลิปปี้ เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลีในขณะนั้น ซึ่งเป็นโค้ชที่ตนเองยำเกรงนำเขาไปคุยกับ เซอร์ อเล็กซ เฟอร์กูสัน ที่สนามบินระหว่างเดินทางเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ เยอรมนี
'ในปี 2006 ตอนที่อยู่ในสนามบินระหว่างฟุตบอลโลกและ มาร์เชลโล่ ลิปปี้ โทรหาผม ผมไปที่นั่น ผมกลัวเขาแล้วเขาก็เปิดประตู นำผมเข้าไปในห้องเล็กๆ จึงได้พบ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อยู่ที่นั่น'
'เขาบินจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อดูฟุตบอลโลก ลิปปี้ บอกว่า 'นายต้องไปที่นั่น' ผมรู้สึกประหม่าเพราะเขา, เพราะ ลิปปี้ เขาน่ากลัว'
'เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ราว 2-3 นาที ไม่มีอะไรจริงจัง แต่ผมอยากจะพูดว่า 'ได้, ผมต้องการไป' เพราะ แมนฯยูไนเต็ด เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผมตอนยังหนุ่ม'
แต่สุดท้ายการย้ายทีมไม่เกิดขึ้นและทีมปีศาจแดงเซ็นสัญญา ไมเคิ่ล คาร์ริค จาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส ส่วน เด รอสซี่ เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ถูกผีแดงถล่มยับบนเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก
'พวกเขาตัดสินใจถูกแล้วเพราะเขา (คาร์ริค) เป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม ผมเคยดวลกับเขา 3-4 ครั้ง และบางครั้งมันเป็นหายนะสำหรับเรา เราแพ้ 7-1, 0-3 ผมทำประตูได้ (เกมแพ้ 7-1) แต่สำหรับเราแล้วมันน่าละอายมาก'
เด รอสซี่ ลงประเดิมสนามกับ โรม่า ในซีซั่น 2001-2002 เพียงไม่กี่เดือน หลัง ฟาบิโอ คาเปลโล่ นำทัพ จัลโลรอสซี่ คว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เขาไม่เคยทำได้เลยตลอด 18 ฤดูกาลที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก้ โดยจบอันดับ 2 ถึง 9 ครั้งก็ตาม
'ผมเซ็นสัญญากับทีมเยาวชนของ โรม่า ตอนผมอายุ 12 ปี' เด รอสซี่ กล่าวต่อ 'ผมไม่เคยลงเล่นเลย ผมนั่งเป็นตัวสำรองในช่วง 3 ของ 4 ปีแรก ผมเป็นนักเตะที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ผมเป็นกองหน้า ผมตัวเบามาก ผมเป็นคนผอมบาง มีเทคนิคดี แต่ไม่ดุดัน'
'มันเริ่มต้นจากความรักที่ผู้คนมีต่อสโมสรแห่งนี้ ไม่ใช่แค่ผม, (ฟรานเชสโก้) ต็อตติ หรือ (จูเซ็ปเป้) จานนินี่ ไม่ใช่แค่เรื่องของเรา 3 คน แต่รวมถึงพวกเราอีกหลายคน'
'บางคนไม่ดีพอจะอยู่ต่อ บางครั้งพวกเขาถูกปล่อยแบบยืมตัว พวกเขาเลือกเส้นทางอื่น แต่นั่นคือความฝันของเรา เมื่อคุณเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กชาวโรมัน คุณจะฝันถึงสิ่งนี้'
'ฟุตบอลมีความสำคัญมากสำหรับเราใน อิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงโรม'
'มีแรงกดดันมากมาย แม้เราจะรู้ว่าเราไม่ใช่ เรอัล มาดริด เราไม่ชนะ'
'พวกเรารักความภักดี ความพยายามที่คุณทุ่มเทในสนาม แม้ว่าคุณจะไม่ได้มาจากกรุงโรมก็ตาม พวกเขาต้องการชัยชนะ พวกเขาอยากคว้าชัยชนะ'
'เราใช้เวลา 10-12 ปีโดยไม่ได้แชมป์เลย แต่ก็เกือบจะได้ตำแหน่งจ่าฝูง ผมเคยอยู่อันดับ 2 ในลีกถึง 9 ครั้ง มันบ้ามาก การเผชิญหน้ากับสโมสรที่สร้างทีมขึ้นมาด้วยเงินมากกว่าเรา 200 ล้าน'
'ในฤดูกาลเหล่านั้น คุณไม่เคยคว้า (แชมป์) แต่ชนะหลายเกมในฤดูกาลเหล่านั้น ดังนั้นผู้คนจึงรู้สึกสบายใจกับผลงานที่คุณมอบให้'
เด รอสซี่ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่าเขาจดจำได้ทุกอย่างเกี่ยวกับวันที่เขาถูกขอให้เล่นกองกลางครั้งแรก ส่งผลให้อาชีพค้าแข้งของเขาเปลี่ยนไปนับจากเหตุการณ์นั้น
'ผมเริ่มต้นในตำแหน่งกองหน้า จากนั้นก็กลายมาเป็นกองกลาง ตอนผมอายุ 16 หรือ 17 ปี' เด รอสซี่ กล่าว 'เราพ่ายแพ้ในเกมกับ อาเรซโซ่ ผมอยู่บนม้านั่งสำรอง และกัปตันทีมที่เล่นกองกลางได้รับใบแดง และโค้ชก็เรียกผมและบอกว่า 'ไปเล่นแทนตำแหน่ง ฟาบิโอ' ผมเล่นที่นั่นและเราเป็นฝ่ายชนะ 2-1'
'ในเกมถัดมา ผมได้เล่นตำแหน่งนั้นอีกครั้ง มันเป็นการเผชิญหน้ากับ เปสคาร่า ผมจำทุกอย่างได้ เพราะมันเปลี่ยนชีวิตของผม และผมก็ไปเล่นใน ปรีมาเวร่า กับโค้ชคนเดิม โดยเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์'
'โค้ชคนนี้มากับผมใน ปรีมาเวร่า และในช่วงซัมเมอร์นั้น กองกลาง 7 คนจาก ปรีมาเวร่า ก็ไปเล่นช่วงปรีซีซั่นกับทีมชุดใหญ่'
'ผมยังคงเล่นต่อไป จากนั้น ฟาบิโอ คาเปลโล่ ก็โทรหาผมหลังจากเห็นผมเล่นกับ ปรีมาเวร่า และผมไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกเลย'
'ในช่วงฤดูกาลนั้น ผมมีโอกาสนั่งสำรอง 2-3 ครั้ง และผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเล็กๆของฤดูกาลนั้น ปีถัดมา ผมลงเล่น 4-5 เกม และในฤดูกาลต่อมา คาเปลโล่ พยายามเซ็นสัญญากับ (เอ็ดการ์) ดาวิดส์ แต่การทำข้อตกลงไม่เกิดขึ้น'
'ผมมีทีมที่ต้องการตัวผม รวมถึง คิเอโว่, เอ็มโปลี และ เรจจิน่า แต่ผมตัดสินใจอยู่ต่อ เพราะผมเชื่อว่าผมสามารถเล่นได้ และทุกคนบอกว่าผมบ้า และผมจะไม่มีวันได้เล่นกับนักเตะระดับ เอแมร์ซอน, (โอลิวิเย่ร์) ดากูร์, (ดาเมียโน่) ตอมมาซี่ หรือ (คริสเตียโน่) ซาเน็ตติ ผมได้ลงเล่น 25-26 เกมในที่สุด'
เด รอสซี่ เริ่มกุมบังเหียนทัพ จัลโลรอสซี่ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2024 แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งแบบคาดไม่ถึงเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา โดยสโมสรนำ อีวาน ยูริช เข้ามารับช่วงต่อ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานนัก ก่อนทีมหมาป่าจะอยู่ภายใต้การดูแลของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ในปัจจุบัน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT