อีหยังวะเนี่ย!
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้ 9 จาก 12 นัดหลังสุด ซึ่งเท่ากับจำนวนที่พวกเขาแพ้ในการเล่น 106 เกมก่อนหน้านั้น
เมื่อสิ้นเดือนตุลาคม แมนฯ ซิตี้ ยังคงไม่แพ้ใครในฐานะจ่าฝูงของลีก และเป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์สมัยที่ 5 ติดต่อกัน แต่ตอนนี้พวกเขาหล่นไปอยู่ที่ 7 ของตาราง ตามหลัง ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูง 12 คะแนน โดยลงเล่นมากกว่า 1 เกมอีกด้วย
มันเป็นการตกต่ำแบบน่าเหลือเชื่อและทำให้ผู้คนพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น และ กวาร์ดิโอล่า จะแก้ไขมันได้หรือไม่
หลังจากหารือถึงสถานการณ์นี้กับคนที่รู้จักเขาดีที่สุด ก็มีการพิจารณาอย่างใกล้ชิด ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงคำถามที่ว่าวิกฤตในปัจจุบันของ แมนฯ ซิตี้ จะได้รับการแก้ไขอย่างไร
'กวาร์ดิโอล่า สงสัยในตัวเองอยู่เสมอ'
กวาร์ดิโอล่า เองก็คิดเรื่องนี้มากเช่นกัน เขานอนไม่ค่อยกลับเหมือนอย่างที่เขาพูด และบางครั้งเขาก็ไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่อต้องคุยกับสื่อ
เขาคุยกับหลายๆ คนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่พยายามหาสาเหตุในการล่มสลายของ แมนฯ ซิตี้ เหตุผลบางอย่างเขารู้ แต่บางอย่างเขาก็ยังไม่รู้
สิ่งที่ผู้คนอาจไม่รู้ก็คือ กวาร์ดิโอล่า มีความสงสัยในตัวของเขาเองอย่างมาก และเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด
เขาจะคิดว่า 'ผมไม่มีทางช่วยเราพ้นจากเรื่องนี้ได้หรอก' และต้องการการสนับสนุนจากคนใกล้ชิดเพื่อขจัดความไม่มั่นคงเหล่านั้นออกไป และเขาก็ทำได้
เขาได้รับการปกป้องจากคนของเขาที่ตระหนักดีเช่นเดียวกับเขาว่ามีคนจำนวนมากที่ต้องการเห็น แมนฯ ซิตี้ ล้มเหลว
มันเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายสำหรับ กวาร์ดิโอล่า คุณยังจำรอยขีดข่วนบนใบหน้าที่เขาเกาจนเลือดซิบหลังจากเกมเสมอ เฟเยนูร์ด 3-3 ในแชมเปี้ยนส์ลีก ได้ไหมล่ะ?
เขาเกาหัวอยู่ตลอดเวลา มันเป็นท่าทางของคนที่ประหม่า ปกติแล้วมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก แต่ในวันนั้น เล็บข้างหนึ่งของเขามันแหลมเกินไป ดังนั้น หลังจากพูดคุยกับนักเตะในห้องแต่งตัวที่เขาเกาหัวเพราะท่าทางหงุดหงิดตามปกติของเขา เขาจึงไปร่วมแถลงข่าว
มาเนล เอสเตียร์เต้ มือขวาของเขาส่งรูปถ่ายให้เขาในข้อความว่า 'มันเกิดอะไรกับหัวของคุณน่ะ?' แต่เมื่อ กวาร์ดิโอล่า กลับเข้าไปในห้องโค้ช มันก็แทบไม่มีอะไรอยู่บนหัวของเขาอีกแล้ว
เขาเริ่มต้นวันนั้นด้วยการปิดจมูกหลังจากเหตุการณ์เดียวกันที่เกิดขึ้นในสนามซ้อมวันก่อนหน้า กวาร์ดิโอล่า กำลังหารือเรื่องฟุตบอลกับ ไคล์ วอล์คเกอร์ เกี่ยวกับเรื่องตำแหน่ง และมันก็เกิดแผลที่จมูกของเขาด้วยเล็บที่แหลมอันเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีการแถลงข่าวที่น่าตกใจหลังเกมแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ เมื่อเขากล่าวว่า "ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง"
นั่นคือเรื่องจริงบางส่วนและไม่จริงบางส่วน
อย่าสนใจความจริงที่ว่า กวาร์ดิโอล่า บอกว่าเขา "ไม่ดีพอ" เขาหมายความว่าเขาไม่ดีพอที่จะแก้ไขสถานการณ์ด้วยกลุ่มผู้เล่นที่เขามีอยู่และปัญหาอื่นๆ ในปัจจุบัน
เห็นได้ชัดว่ามีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลสำหรับวิกฤตการณ์นี้ และคำอธิบายแรกนั้นถูกพูดถึงหลายครั้งแรก นั่นคือการขาดหายไปของ โรดรี้ เอร์นานเดซ กองกลางที่ได้รับบาดเจ็บ
คุณรู้จักเกม Jenga (เกมตึกถล่ม) ไหมล่ะ? เมื่อคุณเอาชิ้นสวนที่ผิดออก หอคอยทั้งหมดก็จะพังทลาย นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
เป็นเรื่องปกติที่ทีมต่างๆ จะพึ่งพาผู้เล่นคนใดคนหนึ่งมากเกินไป หากเขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกในตำแหน่งของเขา และคุณไม่สามารถคำนวณผลที่ตามมาของอาการบาดเจ็บที่ทำให้ผู้เล่นอย่าง โรดรี้ ต้องพักตลอดทั้งฤดูกาล
แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมเช่นเดียวกับหลายทีมยุคใหม่ที่โฮลดิ้งมิดฟิลด์เป็นองค์ประกอบสำคัญในโครงสร้าง
ดังนั้น เมื่อ โรดรี้ ไม่อยู่ มันจึงยากที่จะรักษาสิ่งนั้นไว้ พวกแผนสำรอง อย่าง จอห์น สโตนส์, มานูเอล อคานจี หรือแม้แต่ นาธาน อาเก้ ก็ดันมาบาดเจ็บเหมือนกันอีก
รายชื่อนักเตะบาดเจ็บจำนวนมากนั้นไม่ธรรมดาเลย และปฏิทินที่วุ่นวายก็มีส่วนทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหนึ่งที่แม้แต่ กวาร์ดิโอล่า เองก็อธิบายไม่ได้ก็คือข้อผิดพลาดที่แปลกประหลาดในเกือบจะทุกเกมจากบรรดาผู้เล่นตัวระดับทีมชาติ
ทำไม มาเตอุส นูเนส ถึงต้องไปทำฟาวล์เพื่อให้ทีมตัวเองเสียจุดโทษในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด, แจ็ค กรีลิช ถูกส่งลงสนามมาเพื่อเก็บบอล แต่ก็ทำไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีข้อผิดพลาดจาก วอล์คเกอร์ และกองหลังคนอื่นๆ ทั้งที่นักเตะบางคนเรียกได้ว่าเป็นระดับโลก
แน่นอนว่ากรอบความคิดทางจิตใจของนักเตะนั้นสำคัญ และความมั่นใจก็ลดน้อยลงไป การตัดสินใจที่ผิดพลาดทำให้แทบจะเกิดความตื่นตระหนกในสนามแทนที่จะเป็นความเยือกเย็น
ขณะเดียวกัน ยังมีผู้เล่นที่ฟอร์มตกอย่างหนักเพราะอาการบาดเจ็บอีก
ตอนนี้ วอล์คเกอร์ ไม่สามารถซ่อนตัวภายใต้ความเร็วของเขาได้อีกแล้ว เราไม่แน่ใจว่า เควิน เดอ บรอยน์ จะกลับมาอยู่ในระดับที่เขาเคยเป็นได้หรือไม่ แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ อิลคาย กุนโดกัน ก็ไม่มีเวลาพัก ขณะที่ กรีลิช ก็ไม่ได้เล่นในฟอร์มที่ดีที่สุด
ผู้เล่นบางคนควรจะได้ลงเล่นเพียงสัปดาห์ละเกม แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บพวกเขาจึงต้องลงเล่น 12 เกมใน 40 วัน ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบแบบโดมิโน่
ผลที่ตามมาก็คือ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ไม่ได้รับการช่วยเหลือเพื่อที่จะทำประตูเลย แต่ดาวยิงนอร์เวย์ก็ยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของ แมนฯ ซิตี้ ด้วยจำนวน 13 ลูก ขณะที่รายชื่อรองลงมากลับเป็นนักเตะตำแหน่งกองหลังอย่าง ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ด้วยจำนวน 4 ประตู
จากการวิเคราะห์ฟอร์มของพวกเขาภายในแคมป์ เรือใบ พบว่ามีเพียง 3 เกมเท่านั้นที่พวกเขาสมควรแพ้อย่างแท้จริง (ลิเวอร์พูล, บอร์นมัธ และ แอสตัน วิลล่า) แต่แน่นอนว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไดนามิกแล้ว
'การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังมา'
กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยปกป้องนักเตะของเขามากขนาดนี้ เขาไม่เคยวิจารณ์พวกเขาและจะไม่มีทางทำแบบนั้น พวกเขาชนะทุกอย่างมาร่วมกัน
แทนที่จะทำอะไนกับพวกเขามากขึ้น เขากลับพยายามทำให้น้อยลง บางครั้งเขาก็ให้วันหยุดกับพวกเขามากขึ้นเพื่อให้จิตใจปลอดโปร่ง เพื่อที่พวกเขาจะได้เริ่มต้นใหม่ เช่นสองวันในสัปดาห์นี้
บางทีมันอาจเกิดจากการอิ่มตัวเรื่องของความสำเร็จ แต่ก็ไม่มีใครที่บอกว่า แมนฯ ซิตี้ กำลังจะพังทลายเมื่อพวกเขานำเป็นจ่าฝูงและไม่แพ้ใครหลังจากผ่านไป 9 เกมแรกในลีก
บางคนถามว่ามันต้องแย่ขนาดไหนกันก่อนที่ แมนฯ ซิตี้ จะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับ กวาร์ดิโอล่า คำตอบคือไม่มีการตัดสินใจใดๆ เกิดขึ้นแน่นอน
บางทีหากเป็น เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า หรือ ยูเวนตุส แรงกดดันจากภายนอกคงจะมหาศาล และจะมีการถกเถียงเรื่องที่ กวาร์ดิโอล่า อาจต้องไปด้วย แต่ที่ แมนฯ ซิตี้ เขาชนะทุกอย่างมาหมดแล้ว ดังนั้นใครจะพูดได้ว่าเขาล้มเหลวล่ะ?
ใช่แล้ว นี่คือวิกฤต แต่เมื่อพิจารณาจากปัญหาทั้งหมดแล้ว เป้าหมายใหม่ของ แมนฯ ซิตี้ คือการจบซีซั่นในท็อปโฟร์ นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวของทุกคนในเวลานี้
ไอเดียคือการฟื้นคืนแก่นแท้ของพวกเขาด้วยการปรับปรุงแนวคิดในเกมรับ และสร้างความเข้มข้นที่พวกเขาเป็นที่รู้จักขึ้นมาใหม่
กวาร์ดิโอล่า กำลังวางแผนที่จะใช้สัญญาอีก 2 ปี ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัญญาสุดท้ายของเขาในฐานะผู้จัดการทีมระดับสโมสร เพื่อเตรียม แมนฯ ซิตี้ ใหม่
เมื่อตอนที่เขาใกล้หมดสัญญา 4 ปี กับ บาร์เซโลน่า เขาถามผู้จัดการทีม 2 คนว่าจะทำยังไงเมื่อรู้สึกว่าไม่มีใครตอบสนองต่อคำสั่งของคุณ
คุณต้องไปเองหรือนักเตะเป็นฝ่ายต้องไป? เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ ราฟาเอล เบนิเตซ ต่างก็บอกเขาว่าผู้เล่นนั่นแหละที่เป็นฝ่ายต้องไป
กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้รับฟัง เพราะความผูกพันทางอารมณ์ที่มีต่อผู้เล่นของเขาในตอนนั้น และเขาตัดสินใจออกจากถิ่นคัมป์ นู เพราะเขารู้สึกว่าวัฏจักรนี้จบลงแล้ว
ตอนนี้เขาก็ยังคงปกป้องนักเตะของเขาอยู่ แต่ความผูกพันทางอารมณ์ไม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้นผู้เล่นต่างหากที่ต้องจากไปในครั้งนี้
เป็นไปได้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะมองหานักเตะใหม่มาแทนที่ตัวจริงเดิมถึง 5 หรือ 6 คน กวาร์ดิโอล่า รู้ดีว่านี่คือจุดสิ้นสุดยุคสมัยและเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่
การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นในทันทีและงานส่วนใหญ่จะทำในช่วงซัมเมอร์ แต่พวกเขาก็พร้อมจะเปิดรับโอกาสใดๆ ตั้งแต่เดือนมกราคม และมิดฟิลด์ตัวรับคือหนึ่งในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ในช่วงซัมเมอร์ แมนฯ ซิตี้ อาจต้องการ มาร์ติน ซูบีเมนดี้ กองกลางทีมชาติสเปน มาจาก เรอัล โซเซียดาด และพวกเขารู้ดีอาจต้องใช้เงิน 60 ล้านยูโร (50 ล้านปอนด์)
เขาปฏิเสธ ลิเวอร์พูล เมื่อซัมเมอร์ที่แล้วแม้ว่าทั้งสองสโมสรจะสามารถตกลงกันได้ แต่ตอนนี้เขาอาจต้องการย้ายออก และพรีเมียร์ลีกคือเป้าหมาย
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ ซูบีเมนดี้ พวกเขาก็ยังต้องการนักเตะระดับคุณภาพนั้นอยู่
แมนฯ ซิตี้ ในเส้นทางใหม่กำลังจะมาถึงจากการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนโดย กวาร์ดิโอล่า, อูโก้ วิอาน่า ผู้อำนวยการกีฬา และฝ่ายฟุตบอลของสโมสร
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT