ฟุตบอลโลก 1982 : ปาฏิหาริย์ของรอสซี่
ในปี 1970 เซอร์ สแตนลีย์ เร้าส์ แสดงทรรศนะไว้ว่าศึกฟุตบอลโลกจะได้สมดุลกว่านี้ถ้าเพิ่มที่เข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายจากเดิม 16 ทีม เป็น 24 ทีม
สเปนได้เป็นเจ้าภาพจัดศึกฟุตบอลโลกครั้งที่ 12 ในปี 1982 และทุ่มเงินกว่า 40 ล้านปอนด์ บูรณะสนามแข่งบอลโลกจนกลับมาอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยม พร้อมเพิ่มทีมในรอบสุดท้ายเป็น 24 ทีมเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม แฟนบอลหลายคนก็บ่นว่ามีแมตช์เตะในรอบคัดเลือกมากเกินไป
"หมอผี" แคเมอรูน โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยการยันเสมออิตาลี แต่โชคร้ายมาตกรอบแรกหลังประตูได้เสียสู้อิตาลีไม่ได้ ทางด้านแอลจีเรียช็อกโลกด้วยการโค่นเยอรมันตะวันตก ส่วนฮอนดูรัส ก็สร้างเซอร์ไพรส์เล็กๆ เมื่อยันเสมอกับสเปนเจ้าภาพ
เนื่องจากทีมที่ลงเตะในรอบสุดท้ายมีมากขึ้น จึงมีการใช้รูปแบบการแข่งขันแบบใหม่ บรรดา 24 ทีม จะถูกแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม 2 ทีมที่มีคะแนนดีสุดจะได้ผ่านข้าไปเล่นในรอบต่อไป และถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม แข่งแบบพบกันหมดเพื่อหาทีมแชมป์กลุ่มผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ
ดีเอโก้ มาราโดน่า (ขวา) ความหวังใหม่ของอาร์เจนตินาพาบอลหนีผู้เล่นบราซิลในรอบแบ่งกลุ่ม รอบสอง
"แซมบ้า" บราซิล ขนนักเตะชุดที่ดีที่สุดมาทำศึกฟุตบอลโลกหนนี้อย่างครบครัน นับตั้งแต่ปี 1970 ไม่ว่าจะเป็น ซิโก้, เอเดอร์, โซคราตีส และ ฟัลเกา แข้งแซมบ้าเล่นฟุตบอลโลกได้สวยงามและสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แฟนบอลได้อย่างมาก
อาร์เจนตินา แชมป์เก่า ภายใต้การนำของสตาร์ดาวรุ่ง "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า พลาดท่าแพ้ "ปีศาสแดงแห่งยุโรป" เบลเยียม ในนัดเปิดสนาม แต่ก็ยังทะลุสู่รอบสองได้สำเร็จ ขณะที่โปแลนด์กับฝรั่งเศส มีทีมที่ดีและลงตัว และได้รับการคาดหวังว่าน่าไปได้ไกลในบอลโลกหนนี้
หลายทีมไม่ชื่นชอบระบบการแบ่งกลุ่มรอบสองในสเปนสักเท่าไหร่ และระบบนี้ก็จะไม่ถูกนำมาใช้ในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งมา อย่างไรก็ดี อิตาลี ถูกจับสลากอยู่ในสายหินร่วมกับสองทีมเต็งแชมป์จากแดนอเมริกาใต้อย่างอาร์เจนตินาและบราซิล
ทุกคนคิดว่า อิตาลี ของ เอนโซ่ เบียร์ซ็อต จะต้องจบเห่แค่รอบแรกอย่างแน่นอน แต่ขุนพลอัซซูรี่ลบคำสบประมาทด้วยการเอาชนะทั้งสองทีมแกร่งจากอเมริกาใต้ เปาโล รอสซี่ หัวหอกตีนทองซัดแฮตทริกพาทีมเชือด บราซิล 3-2 ในเกมที่บราซิลต้องการแค่เสมอเท่านั้นก็จะได้เข้ารอบ แต่ทำไม่สำเร็จ
ทางด้าน "สิงโตคำราม" ทีมชาติอังกฤษ แม้จะไม่แพ้ทีมใดแต่ก็ตกรอบแรก เนื่องจากเสมอแบบไร้สกอร์ทั้งสองนัด ขณะที่ เยอรมัน คว่ำ สเปน เจ้าถิ่น พร้อมทะยานเข้าสู่รอบต่อไป ส่วน "ตราไก่" ฝรั่งเศส ต้องเหนื่อยไม่น้อยกว่าจะเอาชนะ ออสเตรีย และ ไอร์แลนด์เหนือได้
โทนี่ ชูมัคเกอร์ นายทวารเยอรมันตะวันตกกระโดดชน ปาทริค บัตติสตง ของฝรั่งเศสจนสลบเหมือน
เปาโล รอสซี่ กลายเป็นสตาร์ดังของศึกฟุตบอลโลกปี 1982 เมื่อยิงได้อีก 2 ประตูในเกมกับโปแลนด์ในรอบตัดเชือก พร้อมกับพาอิตาลี เข้ารอบชิงชนะเลิศ ส่วนเกมรอบตัดเชือกอีกคู่ที่เป็นการพบกันระหว่าง เยอรมันตะวันตก กับ ฝรั่งเศส ได้รับการยอมรับว่าเป็นแมตช์น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาตร์ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และเป็นแมตช์แรกที่ต้องตัดสินกันด้วยการดวลลูกจุดโทษ
จากแมตช์นี้ โทนี่ ชูมัคเกอร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมันกลายเป็นที่รู้จักทั่วโลกจากจังหวะที่เจตนาอัด ปาทริค บัตติสตง ของฝรั่งเศสล้มลงจนต้องหามออกนอกสนาม แต่รอดตัวจากการโดนใบแดงไปอย่างเหลือเชื่อ
เยอรมัน พลิกสถานการณ์จากการตามหลัง 3-1 มาเสมอเป็น 3-3 ก่อนจะยิงลูกโทษชนะฝรั่งเศส ฝั่งโปแลนด์ได้ ซบิ๊กนิว โบเนียค พ้นโทษแบนคืนสนาม คว้าอันดับ 3 ไปครองหลังเอาชนะฝรั่งเศสที่ส่งตัวสำรองลงเล่นหลายคนไปอย่างเฉียดฉิว 3-2
ในเกมนัดชิงชนะเลิศ อิตาลี ชนะ เยอรมันตะวันตกไป 3-1 พร้อมกับคว้าแชมป์โลกสมัย 3 โดย เปาโล รอสซี่ ยังแรงไม่เลิกมากดได้อีกหนึ่งประตู และครองตำแหน่งดาวซัลโว 6 ประตู ขณะที่ ดีโน่ ซอฟฟ์ นายทวารกัปตันทีมวัย 40 ปีกลายเป็นเจ้าของตำแหน่งแชมป์โลกที่อายุมากที่สุดจนถึงปัจจุบัน
เปาโล รอสซี่ ท็อปฟอร์มได้ถูกเวลาในการพาอิตาลีคว้าแชมป์โลกสมัย 3
ชาติเจ้าภาพ : สเปน
สนาม : 17 สนาม
จำนวนทีม : 24 ทีม
จำนวนนัด : 52 นัด
วันแข่งขัน : 13 มิถุนายน - 11 กรกฎาคม 1982
จำนวนประตู : 146 ประตู (2.81 ประตูต่อนัด)
ผู้ชมทั้งหมด : 2,109,723 คน (40,572 คนต่อนัด)
ทีมแชมป์ : อิตาลี
รองแชมป์ : เยอรมันตะวันตก
อันดับ 3 : โปแลนด์
อันดับ 4 : ฝรั่งเศส
รางวัลรองเท้าทองคำ : เปาโล รอสซี่ (อิตาลี) 6 ประตู
สรุปดาวซัลโว
6 ประตู : เปาโล รอสซี่ (อิตาลี)
5 ประตู : คาร์ลไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ (เยอรมัน)
4 ประตู : ซบิ๊กนิว โบเนียค (โปแลนด์), ซิโก้ (บราซิล)
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT