ต้องเรียกสติกลับมา
หลังความพ่ายแพ้ต่อวูล์ฟแฮมป์ตัน 1-3 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา อาร์เซน่อล รั้งอันดับ 5 ด้วยการมี 66 คะแนน ตามหลังอันดับ 3 สเปอร์ส 4 คะแนน และอันดับ 4 เชลซี 1 คะแนน
นั่นหมายความว่าหาก "ไก่เดือยทอง" และ "สิงโตน้ำเงินคราม" เก็บชัยชนะได้หมดใน 3 นัดสุดท้าย ก็จะคว้าตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าแน่นอน
อาร์เซน่อลและแมนฯ ยูไนเต็ดต้องอกหัก และเมื่อถึงตอนนั้นก็ต้องรอดูว่า "ปืนใหญ่" จะยังมีลุ้นในยูโรปา ลีก ซึ่งเป็นอีกเส้นทางสู่เวทีชปล. อยู่หรือไม่
สิ่งที่อาร์เซน่อลทำได้ในตอนนี้คือ ต้องเก็บชัยชนะให้ได้ทั้งหมดใน 3 นัดสุดท้าย และไปลุ้นให้สเปอร์สหรือเชลซีสะดุด
การลุ้นให้คู่แข่งทำคะแนนหล่นเป็นเรื่องเหนือการควบคุม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทำภารกิจตัวเองให้ได้ตามเป้าซึ่งนาทีนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับอาร์เซน่อล
ในช่วง 4 นัดหลังที่เก็บได้ชัยชนะได้ 1 นัดก็เป็นการชนะวัตฟอร์ดที่เหลือ 10 คนตั้งแต่ 11 นาทีแรกเพียงสกอร์ 1-0 รูปเกมวันนั้นเจียนอยู่เจียนไป ไม่ได้ดูเหนือกว่าเลยทั้งที่ได้เปรียบตัวผู้เล่น หวุดหวิดที่จะโดนตีเสมอในหลายต่อหลาครั้ง
อีก 3 นัดที่แพ้มีอยู่ 2 นัดที่พอเข้าใจได้คือเกมเยือนเอฟเวอร์ตันกับวูล์ฟแฮมป์ตันเพราะการเล่นนอกบ้านของอาร์เซน่อลมีปัญหาอย่างมาก
แต่เกมพ่ายคาบ้านต่อคริสตัล พาเลซ คือเกมที่น่าเสียดายและน่าผิดหวังที่สุดเพราะประมาทคู่แข่งเกินไปทำให้วางแผนผิดส่งผู้เล่นสำรองลงหลายคน แถมยังเล่นพลาดเองจนเสียสถิติสวยหรูชนะเกมลีกในบ้าน 10 นัดติดต่อกัน
ไล่เรียงโปรแกรมที่เหลืออยู่กันอีกรอบเพื่อประเมินว่ายังมีโอกาสมากน้อยเพียงใดกับการติดท็อปโฟร์
28/04/19 เลสเตอร์ (เยือน, พรีเมียร์ลีก)
02/05/19 บาเลนเซีย (เหย้า, ยูโรปา ลีก)
05/05/19 ไบรท์ตัน (เหย้า, พรีเมียร์ลีก)
09/05/19 บาเลนเซีย (เยือน, ยูโรปา ลีก)
12/05/19 เบิร์นลี่ย์ (เยือน, พรีเมียร์ลีก)
การชนะเกมลีก 3 นัดสุดท้ายไม่ใช่เรื่องยากเพราะอาร์เซน่อลมีศักยภาพทำได้อยู่แล้ว แต่ปัญหาก็คือ แรงกระตุ้นและความมั่นใจในช่วงนี้ที่มีปัญหาเหลือเกิน
"โอบา" น่าจะฟิตทันเยือนเลสเตอร์
ในเกมกับวูล์ฟส์ตลอด 90 นาที ทีมของ อูไน เอเมรี่ ไม่ได้แสดงออกเลยว่าอยากไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า
สถานการณ์ต้องบุกชนะให้ได้ แต่ไม่มีช่วงเวลาใดที่เล่นเกมรุกกดดันเข้าใส่เจ้าถิ่น ทำได้เพียงครองบอลไปมา ถ่ายออกซ้าย-ขวา แต่ไม่สามารถเจาะได้
การเซตบอลแต่ละครั้งเนิบช้าและรูปแบบเดิม ไม่มีไอเดียพลิกแพลงอื่นที่ทำให้วูล์ฟส์ต้องหน้าตาตื่นรับมือ น้องใหม่ไฟแรงจึงเล่นได้สบายใจ ยืนรับแน่น ตัดได้ก็โต้เร็วด้วยทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยม ก่อนจบสกอร์สุดเฉียบขาด
อาร์เซน่อลแพ้ตั้งแต่ 45 นาทีแรกที่โดนไป 3 ประตู ครึ่งหลังที่ควรต้องฮึดยิ่งกว่าเดิมก็ไม่มีให้เห็น
ตรงนี้คือสิ่งที่ อูไน เอเมรี่ ต้องกระตุ้นลูกทีมให้กลับมาให้ได้ในนัดต่อไปที่ต้องไปเยือนเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งจะเจองานไม่ง่ายแน่นอนเพราะทัพจิ้งจอกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับวูล์ฟส์คือลุ้นอันดับ 7 ของตาราง
การขาดหายไปของ อาร่อน แรมซี่ย์ ที่เจ็บจากเกมยูโรปา ลีก ทำให้ "พละกำลัง" ในการทะลุทะลวงขาดหายไปด้วยเพราะดาวเตะทีมชาติเวลส์มีความขยัน ช่วยทีมได้ทั้งรุกและรับ อีกทั้งมีความเข้าใจเกมเป็นอย่างดี
อเล็กซ์ อีโวบี้ กับ เฮนริค มคิทาร์ยาน ไม่สามารถทดแทนได้เลย ขณะที่ เมซุต โอซิล ซึ่งมีคลาสที่เหนือกว่าก็ไม่ใช่ผู้เล่นประเภทกระตุ้นทีมหรือแม้แต่ตัวเองได้
อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ จึงโดดเดี่ยวอย่างมากในแดนหน้า ขณะที่คู่หู ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ก็ดันมีปัญหาโพรงจมูกจนพลาดช่วยทีม
โอบาเมย็อง น่าจะกลับมาได้ในเกมกับเลสเตอร์ แต่การที่แรมซี่ย์ยังต้องพลาดอีกนัดเป็นโจทย์ที่เอเมรี่ต้องคิดให้ดีว่าจะจัดเกมรุกอย่างไร
ที่สำคัญอีกอย่างคือ เกมรับ ซึ่งเสียประตูง่ายเหลือเกินโดยเฉพาะนอกบ้าน
ถึงตรงนี้อาร์เซน่อลเสียประตูนอกบ้านไปแล้ว 31 ประตู มากที่สุดในบรรดาท็อปเทนของตาราง และมากกว่าทีมอย่างคาร์ดิฟฟ์ด้วยซ้ำ
เป็นตัวเลขที่น่าตกใจไม่น้อยเพราะลงเล่นไปเพียง 17 นัด เฉลี่ยเกือบถึง 2 ประตูต่อนัดเลยทีเดียว ซึ่งไม่ใช่คุณสมบัติที่ดีของทีมที่ลุ้นไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก
เลสเตอร์มีเกมรุกที่รวดเร็วและคล่องตัว ไม่ต่างจากวูล์ฟแฮมป์ตัน อาร์เซน่อลต้องออกบอลจากแดนหลังให้เร็ว หากคิดช้าทำช้าก็มีโอกาสโดนเล่นงานได้ทุกเวลา
ปืนใหญ่แพ้ในลีก 3 จาก 4 นัดหลังสุด
แดนกลางต้องช่วยแบ่งเบาภาระให้ได้มากที่สุด ลูคัส ตอร์เรร่า กับ กรานิต ชาคา ต้องช่วยตัดเกม และเล่นให้เด็ดขาด ไม่มีลังเลในการตัดสินใจ
อาร์เซน่อลต้องเก็บ 3 คะแนนที่คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ให้ได้ และในวันเดียวกันก็ต้องลุ้นให้แมนฯ ยูไนเต็ดช่วยแบ่งแต้มเชลซี
เกมเยือนโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดคือเกมที่ความเป็นไปได้มากสุดที่เชลซีจะเสียแต้มเพราะเจ้าถิ่นแมนฯ ยูไนเต็ดก็ต้องการชัยชนะเพื่อกลับมามีลุ้นติดท็อปโฟร์
ผลการแข่งขันของคู่นี้ที่ดีที่สุดสำหรับอาร์เซน่อลคือ ลุ้นให้ทั้งสองทีมเสมอกันไป หรือหากมีทีมชนะก็ควรต้องเป็นทีมสีแดง ไม่ควรเป็นทีมสีน้ำเงิน
แต่สำคัญสุดที่ต้องย้ำอีกรอบคือ อาร์เซน่อลที่ลงสนามก่อนต้องชนะเลสเตอร์ให้ได้ และหากทำได้และผลอีกคู่ในช่วงดึกเป็นใจ โอกาสใน 2 นัดสุดท้ายจะเหวี่ยงกลับมาอยู่ในมือตัวเองอีกครั้ง
การชนะเลสเตอร์ได้เป็นเรื่องดีทั้งต่อการลุ้นท็อปโฟร์และเรียกความมั่นใจกลับมาก่อนลงเล่นยูโรปา ลีก นัดแรกกับบาเลนเซียซึ่งจะได้หวดในบ้านตัวเองก่อน
อย่างที่บอกไป ศักยภาพของอาร์เซน่อลมีอยู่แล้วกับการชนะเลสเตอร์ ขอเพียงเรียกสติที่ตกต่ำลงไปมาในเกมกับวูล์ฟแฮมป์ตันกลับมาให้ได้
ขอเพียงมี "สติ" ต่อให้ภารกิจยากเพียงใดก็จัดการได้อยู่แล้ว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT