ปืนใหญ่นิสัยเสีย
การแพ้ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ อาร์เซน่อล แต่ครั้งนี้ให้ความรู้สึกที่ "เสียดาย" กับโอกาสที่ทิ้งไปเอง
อาร์เซน่อล มีโอกาสชนะได้ หรืออย่างน้อยมีคะแนนติดมือกลับออกมา แต่พวกเขาลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ และทำให้ถูกตั้งคำถามขึ้นมากมายอีกครั้ง
ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า เริ่มต้นได้ยอดเยี่ยมบุกเข้าใส่เจ้าถิ่นจนได้เตะมุมติดกันหลายครั้งและนำมาซึ่งประตูนำของ เอมิล สมิธ โรว์
ประตูนี้เหมือนจะไม่ได้ในตอนแรกเพราะผู้ตัดสิน มาร์ติน แอตกินสัน เป่านกหวีดหยุดเกมหลัง ดาบิด เด เคอา บาดเจ็บ แต่เมื่อเช็กเหตุการณ์กับทีมงานวีเออาร์อีกรอบก็พบว่านายทวารผีแดงโดนเพื่อนร่วมทีม เฟร็ด เหยียบเท้าเข้าโดยบังเอิญ อาร์เซน่อล ไม่ได้ทำฟาวล์ใดๆ และตามจังหวะของตัวเอง ประตูนำลูกนี้จึงถือว่า "เคลียร์"
แต่หลังจากได้ประตูนำ อาร์เซน่อล ก็ถอนคันเร่งดื้อๆ ขณะเดียวกัน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ตื่นตัวมากขึ้นพร้อมกับเร่งเกมของตัวเองเพื่อทวงประตูคืน นั่นทำให้ช่วง 15 นาทีหลังมีประตูแรกเกิดขึ้น เจ้าถิ่นผีแดงจึงเป็นฝ่ายขึงเกมรุกใส่แบบวันเวย์ ก่อนได้ประตูตีเสมอจาก บรูโน่ แฟร์นันด์ส
กำลังใจกลับมาอยู่ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ประตูตีเสมอได้ในช่วงเวลาสำคัญคือก่อนจบครึ่งแรกเพียงนาทีเดียว แถมออกสตาร์ทครึ่งหลังได้ 7 นาที พวกเขาก็เป็นฝ่ายพลิกนำ 2-1 จาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้
แต่สถานการณ์ก็ดันกลับมาสูสีอีกครั้งเมื่อ อาร์เซน่อล ตีเสมอได้เร็วในรูปแบบการเข้าทำคล้ายกันคือการเปิดบอลทางฝั่งขวาเข้าเขตโทษก่อนเป็น มาร์ติน โอเดการ์ด ซัดตุงตาข่ายแม่นยำ
ณ วินาทีที่สกอร์ 2-2 ทุกอย่างออกได้หมด และโดยธรรมชาติแล้ว ทีมที่ตามตีเสมอได้ล่าสุดมีโอกาสยิงนำด้วยซ้ำจากโมเมนตัมที่เหวี่ยงกลับมาหาอีกรอบ
ปืนใหญ่สานต่อโมเมนตัมหลังประตูนำนี้ไม่ได้
ทว่าด้วยความผิดพลาดของ โอเดการ์ด ที่ไปทำฟาวล์ เฟร็ด จากด้านหลังทำให้ อาร์เซน่อล เสียจุดโทษ โรนัลโด้ รับหน้าที่สังหารไม่พลาดกลายเป็นประตูชัยในที่สุด
อาร์เซน่อล แพ้เป็นนัดที่ 5 ของฤดูกาล แต่เป็นการแพ้ที่พวกเขาต้องโทษตัวเองมากกว่าทุกนัดที่ผ่านมาเพราะทิ้งโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
ปืนใหญ่เคยพ่ายต่อ เชลซี, แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล หรือกระทั่งน้องใหม่ เบรนท์ฟอร์ด แต่นั่นก็เพราะคู่แข่งพร้อมกว่าและทำได้ดีกว่าชัดเจน โดยเฉพาะการแพ้ต่อ 3 ทีมนำที่เห็นชัดว่าเป็นบอลคนละชั้น อยู่กันคนละระดับ
แต่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นต่างออกไปเพราะทัพผีแดงไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบทั้งเรื่องของผลงาน สภาพความพร้อมของผู้เล่น หรือแม้แต่การที่ต้องใช้ ไมเคิ่ล คาร์ริค ทำหน้าที่ขัดตาทัพอีกนัดระหว่างรอ ราล์ฟ รังนิก เริ่มนับหนึ่งอย่างเป็นทางการในเกมนัดต่อไป
นี่คือโอกาสที่ อาร์เซน่อล จะยืดสถิติไม่แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีกออกไปเป็นนัดที่ 7 ติดต่อกัน หรือนับตั้งแต่หมดยุคของ อาร์แซน เวนเกอร์
แถมหากชนะได้จะขึ้นไปอยู่อันดับ 4 ของตาราง แซงหน้า เวสต์แฮม ที่มีคิวเจอกันในกลางเดือนนี้ และทิ้ง แมนฯ ยูไนเต็ด เป็น 8 คะแนน
ทว่าความจริงที่เกิดขึ้นคือ แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่กดดัน อาร์เซน่อล มาเหลือ 2 คะแนนแล้ว และเตรียมเข้าสู่ยุคของ ราล์ฟ รังนิก เต็มตัว
เป็นความปราชัยที่ทำให้แฟนบอลหลายคนหัวเสียไม่น้อย ขณะที่ฟอร์มการเล่นของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ก็เริ่มสร้างความกังวลมากยิ่งขึ้น
หัวหอกกัปตันทีมปืนโตยิงประตูไม่ได้เลย 5 นัดหลังสุด และไม่มีทีท่าว่าจะยิงได้ด้วยซ้ำ
หลายนัดก่อนหน้านี้ โอบาเมย็อง ถูกวิจารณ์ต่อเนื่องจากการพลาดโอกาสไปนับไม่ถ้วน เกมล่าสุดกับ นิวคาสเซิ่ล ก็ได้ยิงจ่อๆ แต่ชนเสาเหลือเชื่อ ย้อนไปไม่นานก็เพิ่งพลาดจุดโทษสองครั้งติดต่อกันในเกมพบ แอสตัน วิลล่า (ตามซ้ำเข้า) และ วัตฟอร์ด
ในเกมใหญ่แบบนี้คือเกมที่ โอบาเมย็อง ในฐานะกองหน้าตัวเป้าและกัปตันทีมต้องแสดงผลงานออกมาว่าสร้างความแตกต่างได้ แต่กลายเป็นว่าหัวหอกรุ่นน้องที่เพิ่งลงตัวจริงเป็นนัดที่ 2 ในฤดูกาลอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ สร้างปัญหาให้แนวรับผีแดงได้มากกว่า
โอบาเมย็อง เล่นได้น่าผิดหวังอีกนัด
โอบาเมย็อง ก้มหน้ายอมรับหลังจบเกมว่า "ผมต้องยืนยันขึ้นและทำประตูจากโอกาสแบบนั้น ซึ่งอาจจะกลายเป็นคะแนนของพวกเรา แน่นอนว่าผมควรจะทำประตูให้ได้ ผมจะไม่ยอมแพ้และจะพยายามเพื่อกลับมายิงให้ได้อีกครั้ง"
"คุณต้องเฉียบคมทั้งเกมรุกและเกมรับในช่วงเวลาสำคัญ คุณต้องเล่นให้สมบูรณ์แบบกับการเจอทีมคุณภาพอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"
"พวกเราผิดหวังเพราะทีมเล่นได้ดีมากในคืนนี้ เราน่าจะได้ผลการแข่งขันที่ดีกว่านี้ เราดร็อปลงไปในท้ายครึ่งแรกจนเสียประตู ช่วงครึ่งหลังเรามีคาแรกเตอร์ที่จะกลับมาได้"
ด้วยความเฉียบคมในการทำประตูที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม อาร์เซน่อล มีข่าวต้องการกองหน้ารายใหม่ในซัมเมอร์หน้า และในมุมของแฟนบอลต้องหาใครสักคนเข้ามาตั้งแต่ตลาดหน้าหน้าวที่จะถึงนี้เลย
ในซัมเมอร์ที่ผ่านมา แข้งใหม่ อาร์เซน่อล ทำผลงานกันได้ดี แต่การแพ้ล่าสุดก็ทำให้เห็นว่ากลุ่มผู้เล่นส่วนใหญ่ที่อายุน้อยยังต้องเรียนรู้อีกพอสมควร
พวกเขาปรับโหมดเป็นเล่นตั้งรับทันทีหลังได้ประตูออกนำซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผายมือเชื้อเชิญให้คู่แข่งบุกเอาคืน แต่กลายเป็น "นิสัยเสีย" ที่เริ่มติดตัวไปแล้ว
ลูกทีมของ อาร์เตต้า เอาตัวรอดได้ในหลายนัดที่ผ่านมาทั้งเกมกับ เลสเตอร์ ที่ได้ อารอน แรมส์เดล เซฟไป 8 ครั้งเพื่อรักษาสกอร์ 2-0 ตั้งแต่ 18 นาทีแรก และในศึกนอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ ที่โขก สเปอร์ส ฝ่ายเดียวจนนำห่าง 3-0 ในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังกลับปล่อยให้ไก่เดือยทองมีฮึด
แต่ครั้งนี้พวกเขาโดน แมนฯ ยูไนเต็ด ลงโทษทั้งที่มีช่วงเวลาสำคัญที่ได้เปรียบทั้งประตูนำของ สมิธ โรว์ และประตูตีเสมของ โอเดการ์ด
กับการเจอ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนี้ อาร์เซน่อล มีศักยภาพที่จะเดินหน้าบุกได้เหมือนช่วงต้นเกม มีโอกาสนำเพิ่มมากกว่าประตูเดียว แต่กลายเป็นว่าถอยไปตั้งรับและไม่ได้เป็นการรับเพื่อรอโต้เพราะเสียการคอนโทรลเกมไปแล้ว
ตัด 3 ทีมของตารางตอนนี้ออกไป อาร์เซน่อล ยังมีโอกาสลุ้นติดท็อปโฟร์เพื่อกลับไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่หากไม่เลิกนิสัยแบบที่เกิดขึ้นในเกมล่าสุด บทสรุปสุดท้ายก็อาจไม่ต่างจากฤดูกาลล่าสุดที่พลาดตั๋วยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT