เสียดาย
แต่เมื่อมองจากโอกาสและรูปเกมนั้นก็ต้องบอกว่าน่าเสียดายที่ทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล กลับมาออกพร้อมกับผลเสมอเท่านั้น เพราะมันน่าจะเป็นชัยชนะมากกว่า
นับตั้งแต่เริ่มเกมทีมออกสตาร์ทอย่างมีชีวิตชีวา เดินเกมบุกอย่างรวดเร็วและหาโอกาสได้หลายครั้ง โดยเฉพาะในครึ่งแรก
โอกาสยิงจ่อๆของ ติโม แวร์เนอร์ ที่ไปติดขา ติโบต์ กูร์กตัวส์ ถือเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ทั้งสื่อและเหล่ากูรูทั้งหลายหยิบมาพูดถึง แน่นอนว่ามันเป็นไปในทิศทางที่ไม่ดีนัก
เพราะในซีซั่นนี้ต้องบอกว่ากองหน้าทีมชาติเยอรมันพลาดโอกาสทองมากมาย ไม่งั้นคงยิงเยอะกว่านี้ไปแล้ว แม้ว่าสุดท้ายทีมจะออกนำจนได้จาก คริสเตียน พูลิซิช แต่ก็โดน คาริม เบนเซม่า ตีเสมอไป
ส่วนเกมครึ่งหลังเมื่อสนามเปียกไปด้วยฝน แต่ทั้งสองทีมเล่นบอลบนพื้นเป็นหลักมันก็เลยไม่ได้มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันกันเท่าไรนัก
เพื่อความสบายใจ มองในแง่ดีก็ต้องบอกว่า เชลซี กุมความได้เปรียบก่อนจาก "อะเวย์ โกล" ก่อนเกมที่สองที่สแตมฟอร์ด บริดจ์นั่นแหละ
การจัดทีม
มาเตโอ โควาซิช คือนักเตะคนเดียวที่พลาดช่วยทีมในเกมนี้เนื่องจากอาการบาดเจ็บ ทำให่้หมดโอกาสเจอกับสโมสรเก่า นั่นหมายความว่าในแดนกลางจะเป็น จอร์จินโญ่ กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่จับคู่กัน
ส่วนในแนวรับสามเซนเตอร์เกมนี้เป็น อันโตนิโอ รือดิเกอร์, ติอาโก้ ซิลวา และ อันเดรียส คริสเตนเซ่น เกมวิงแบ็ก-ซ้ายเป็น เบน ชิลเวลล์ ขณะที่อีกฝั่งเป็น เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่ช่วงหลังโดนจับไปยืนข้างในบ่อยๆ เกมนี้ได้เล่นในตำแหน่งที่้เคยเป็นพื้นที่ถนัดอีกครั้ง
ตัวรุกเป็น เมสัน เมาท์ ที่มีการขยับถอยต่ำลงมาช่วยแดนกลางด้วย ส่วน คริสเตียน พูลิซิช ก็ถูกดันสูงขึ้นไปยืนเป็นกองหน้าคู่กับ ติโม แวร์เนอร์ ส่วนผู้รักษาประตูเป็น เอดูอาร์ เมนดี้
ขณะที่ทาง เรอัล มาดริด ก็มาเล่นในระบบที่ไม่แตกต่างกัน ติโบต์ กูร์กตัวส์ ยืนเฝ้าเสา กองหลังเล่นเป็นแบบสามเซนเตอร์มี เอแดร์ มิลิเตา, ราฟาแอล วาราน และ นาโช่ เฟร์นานเดซ วิง-แบ็ก ดาเนียล การ์บาฆาล กับ มาร์เชโล่ ยืนคนละฝั่ง ลูก้า โมดริช, การ์ลอส กาเซมีโร่ และ โทนี่ โครส คุมตรงกลาง ส่วนกองหน้า คาริม เบนเซม่า กับ วินิซิอุส จูเนียร์ เป็นคู่กองหน้า
เริ่มต้นอย่างคึกคัก
ถือว่าเกมนี้ออกสตาร์ทอย่างที่แฟนบอลรอคอย การตั้งเกมบุกจากฝั่ง เรอัล มาดริด แต่ว่าผู้มาเยือนอย่าง เชลซี ก็ไม่ได้มาเพื่อรับอย่างที่คิด แต่กลับเดินหน้าใส่เหมือนกันเมื่อมีโอกาส
โอกาสลุ้นประตูครั้งแรกเป็นของฝั่ง "สิงห์บลูส์" ที่ เมสัน เมาท์ เปิดบอลจากทางซ้ายลึกไปเสาสอง คริสเตียน พูลิซิช โหม่งตั้งมาหน้าประตู ติโม แวร์เนอร์ อยู่คนเดียวได้ยิงจ่อๆแต่กลับไม่หนี ติโบต์ กูร์กตัวส์ มราใช้ขาเซฟเอาไว้ได้
หลังจากนั้นไม่เท่าไรทีมเยือนก็ได้โอกาสอีกจากจังหวะยิงนอกกรอบของ ติโม แวร์เนอร์ ก็ไม่ผ่านมือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ หรือจะจังหวะเปิดบอลได้ลุ้นมาหน้าประตูแต่ ติโม แวร์เนอร์ ก็เข้าชาร์จช้าไปเพียงแค่นิดเดียว
ประตูที่คู่ควร
หลังจากที่เดินหน้าบุกอยู่แทบจะข้างเดียวอยู่เกือบ 5 นาทีในที่สุด เชลซี ก็มาพังประตูขึ้นนำได้สำเร็จหลังผ่านไป 14 นาทีของเกม
อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ตักบอลยาวให้กับ คริสเตียน พูลิซิช สปีดหาบอลก่อนเกี่ยวบอลจังหวะแรกเหมือนจะไม่ดี แต่ด้วยความที่นักเตะ "ราชันชุดขาว" มากันช้าทำให้ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ต้องออกไปปิดมุมจนสุดท้ายโดนลากหลบแล้วซัดตุงตาข่ายให้ทีมออกนำ 1-0
ถือว่าประตูนี้ตรงปรบมือให้สตาร์ทีมชาติสหรัฐ อเมริกาไปเต็มๆทั้งความใจเย็นและจังหวะจบสกอร์
หลังจากนั้นฝนเริ่มเทลงมาแต่เกมของ "สิงห์บลูส์" ก็ยังคงเหนือกว่าและเป็นฝ่ายกดดันเข้าใส่ และการหาโอกาสก็ทำได้เป็นอย่างดีทีเดียวเพียงแต่ไม่สามารถเพิ่มสกอร์ได้เท่านั้น
โดนตีเสมอ
อย่างที่บอกว่าหลังจากขึ้นนำเกมของ เรอัล มาดริด ดูช็อตไป แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ตั้งเกมได้ และส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่าพวกเขายังมีพิษสงที่จะเจาะประตูได้เช่นกัน
ในนาทีที่ 23 ของเกม "ราชันชุดขาว" เกือบตีเสมอได้จากจังหวะที่ คาริม เบนเซม่า หาช่องและกดด้วยซ้ายเต็มข้อบอลพุ่งชนเสาออกหลังไปหวุดหวิด
จากนั้น 6 นาทีเจ้าบ้านก็มาตีเสมอสำเร็จจากฟรีคิกทางซ้าย มาร์เชโล่ เปิดบอลลึกไปเสาสอง กาเซมีโร่ โหม่งจังหวะแรก เอแดร์ มิลิเตา เสยต่ออีกทีมมาถึง คาริม เบนเซม่า โหม่งตั้งก่อนวอลเลย์จ่อๆบอลเสียบใต้คานอย่างสวยงาม
หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็หาศัยจังหวะยิงจากนอกกรอบกันมากกว่า เพราะการต่อบอลเข้าเขตโทษดูจะยากมากขึ้น ทั้งในเรื่องของสภาพอากาศที่ฝนเทลงมาด้วย
การแก้เกม
ดูเหมือนว่า ซีเนดีน ซีดาน จะมองเห็นจุดอ่อนในช่วงครึ่งแรกของทีม และมีการแก้เกมกันในช่วงพักครึ่ง ซึ่งเห็นได้จากการออกสตาร์ทครึ่งหลัง ติโม แวร์เนอร์ ต้องเจอกับความกดดันที่มากขึ้นเมื่อได้บอล พร้อมกับจัดการอย่างทันท่วงทีก่อนที่กองหน้าเยอรมันจะใช้ความเร็วเล่นงาน
แน่นอนว่าเมื่อเกมตื้อไปนำมาซึ่งการเปลี่ยนตัวทีเดียว 3 คนรวด โดยเอา รีซ เจมส์, ฮาคิม ซิเย็ค และ ไค ฮาแวร์ตซ์ ลงมาเล่นแทน เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, คริสเตียน พูลิซิช และ ติโม แวร์เนอร์ ซึ่งคนที่ลงมาแทนนั้นมีความสดและความเร็วไปแพ้พวกที่เล่นตัวจริงเลย
ในขณะที่ทางฝั่ง เรอัล มาดริด เราได้เห็นหน้าของ เอแด็น อาซาร์ อดีตแข้งเก่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ย้ายออกจากทีมลงเล่นแทน วินิซิอุส จูเนียร์ ที่เปลี่ยนลงมาพร้อมกับการปรับของทัพสิงห์
และนั่นดูจะได้ผลเลยเมื่อ เชลซี กลับมาทำได้ดีอีกครั้งจากพลังของเหล่าตัวสำรอง ซึ่งทาง ซีเนดีน ซีดาน ก็มองออกจนนำมาซึ่งการเปลี่ยนตัวเพิ่ม อัลบาโร่ โอดริโอโซล่า และ มาร์โก อาเซนซีโอ ลงเล่นแทน ดาเนียล การ์บาฆาล และ มาร์เชโล่ พร้อมกับปรับมาเล่นแบบ "แบ็กโฟร์" ตามถนัด
หลังจากนั้นเกมก็แทบจะไม่มีอะไรอันตราย เพราะทาง เรอัล มาดริด เองก็ดูจะไม่เสี่ยงเปิดเกมบุกมากเท่าไรนัก อาจจะเพราะกลัวเสียบอลและอาจจะนำมาซึ่งการเสียประตูอีกครั้ง
สุดท้ายเกมจบลงด้วยผลเสมอแบบที่ เชลซี มี อะเวย์ โกล กลับบ้านมา
เกมถัดไป
เชลซี จะกลับมาเล่นในลีกเปิดบ้านเจอกับ ฟูแล่ม ในเกมพรีเมียร์ลีกในวันเสาร์ ก่อนที่จะเปิดสแตมฟอร์ด บริดจ์เจอกับ เรอัล มาดริด ในเกมเลกที่สองอีกครั้งในวันพุธ
หวังว่าทีมจะสามารถผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปได้เมื่อมองจากความได้เปรียบเล็กๆน้อย, สถิติเกมรับของทีม รวมถึงฟอร์มการเล่นที่ปะทะกันในนัดแรก
หากว่าดันไปพลาดตกรอบล่ะก็ คงต้องหันกลับไปดูเกมแรกที่ดันพลาดโอกาสกันไปเอง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT