แผนการเล่น : 3-4-3
ประตู : ไมเคิ่ล ฟอลเคสการ์ด (ทรู แบงค็อก ยูฯ)
นายทวารทีมชาติฟิลิปปินส์ งัดฟอร์มเทพออกมาโชว์อีกครั้ง ในเกมที่เกือบเพลี่ยงพล้ำหลายต่อหลายหน แต่ก็ยังช่วยป้องกันเอาไว้ได้หมด ทั้งการออกมาตัดบอล ซูเปอร์เซฟลูกยากๆ หรือแม้กระทั่งป้องกันจุดโทษของ เลอันโดร อัสซัมเซา ไว้ได้อีก ถือเป็นวันที่โชคร้ายของ "สวาดแคท" ก็ว่าได้ที่เล่นกับทีมหัวตารางได้ดีขนาดนี้แต่ทว่ากลับเก็บได้เพียงแต้มเดียว เพราะเจอโกลที่เหนียวเหลือเกิน
กองหลัง : ประลอง สาวันดี (นครราชสีมา มาสด้า)
ประลองเติมเกมรุกทางซ้ายได้สะใจกองเชียร์เจ้าถิ่นมาก ในเกมรับก็ถือว่ารับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดี และมีช็อตไฮไลท์สำคัญที่ยืนสกัดลูกยิงของ อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ ซึ่งกำลังจะเข้าประตูอยู่แล้วออกหลังไปอย่างไม่น่าเชื่อ ถือเป็นเกมที่เจ้าตัวทำผลงานได้มาตรฐานสูงอีกครั้ง
กองหลัง : โจเอล ซามี่ (สุโขทัย เอฟซี)
ขันเกมรับให้ "ค้างคาวไฟ" ได้แน่นเปรี๊ยะทั้งลูกกลางอากาศหรือภาคพื้นดิน แสดงความเป็นผู้นำคอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมเสมอ และเป็นคนโขกประตูแรกให้ทีมขึ้นนำจนทำให้สถานการณ์ของเกมเปลี่ยน และด้วยความได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่นก็ทำให้ สุโขทัย ค่อยๆ บดจนคว้า 3 แต้มเหนือ "สิงห์เจ้าท่า" ไปได้สำเร็จ
กองหลัง : สุพจน์ วงศ์หอย (ตราด เอฟซี)
การได้กลับมาเจอทีมเก่าอย่าง สุพรรณบุรี ไม่รู้ว่าทำให้เกิดพลังแฝงอะไรหรือไม่ เพราะนัดนี้เติมเกมรุกได้มันส์หยดติ๋งเหลือเกินสำหรับ "เจ้าหน่อย" 2 ลูกหลังที่ "ช้างขาวเจ้าเกาะ" ทำได้มาจากการเติมขึ้นมาครอสบอลของเขาทั้งสิ้น แม้จะเป็นเพียงเกมที่สองที่ได้ลงสนามให้ทีมในฤดูกาลนี้ก็ตาม
กองกลาง : ธัชนนท์ นคราวงศ์ (ตราด เอฟซี)
แอสซิสต์สวยๆ ไปคนเดียวใน 2 ลูกแรกที่ ตราด ทำได้ ทั้งจังหวะครอสให้ ดูมบูญ่า โขก และจังหวะจ่ายบอลจากแนวลึกให้ ดิยุฟ บีรัม หลุดเดี่ยวเข้าไปทำประตู เท้าซ้ายของ "ค็อปเตอร์" วัยย่าง 23 แม่นเหมือนจับวางทั้งบอลสั้นบอลยาว ชื่อเสียงอาจจะยังไม่เปรี้ยงปร้าง แต่ผ่านประสบการณ์กับทีมใหญ่ๆ มาแล้วมากมาย และจากนี้ชื่อของเขาคงจะคุ้นหูแฟนบอลไทยลีกมากยิ่งขึ้นแน่นอน
กองกลาง : สุเชาว์ นุชนุ่ม (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด)
เล่นได้เนียนตาสุดๆ สำหรับกองกลางกัปตันทีมวัยย่าง 36 ปีรายนี้ นอกเหนือจากบทบาทการเชื่อมเกมและคอยถ่ายบอลให้แนวรุกแล้ว นัดนี้ทั้ง 3 ประตูที่ "ปราสาทสายฟ้า" ทำได้ "กัปตันกบ" มีส่วนร่วมทั้งหมด ทั้งแอสซิสต์เองโดยตรงและเป็นจุดเริ่มต้นจากการผ่านบอลสวยๆ การกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงของเขานั้นเสมือนกับว่า บุรีรัมย์ ไดู้้ผู้เล่นคนใหม่มากประสบการณ์เข้ามาช่วยทีมเลยทีเดียว
กองกลาง: เมธี ทวีกุลกาญจน์ (นครราชสีมา มาสด้า)
กองกลางจอมเก๋าวัยย่าง 35 ปีเก็บกวาดแดนกลางให้ "สวาดแคท" ได้อย่างหมดจด คอยเชื่อมจังหวะให้เพื่อน และดีเลย์เกมรุกของ "แข้งเทพ" ได้เป็นอย่างดี นัดนี้โชว์พลังสับไกสุดสวยจากนอกเขตโทษระยะกว่า 30 หลาเข้าสามเหลี่ยมประตูอย่างสวยงามให้ทีมออกนำไปก่อน รวมถึงช่วงท้ายเกมที่ได้ซัดเต็มข้ออีกครั้งแต่บอลพุ่งไปชนคานอย่างน่าเสียดาย ไม่เช่นนั้น "สวาดแคท" คงคว้า 3 แต้มเต็มไปแล้ว
กองกลาง : กฤษณนน ศรีสุวรรณ (ราชบุรี มิตรผล)
โดดเด่นสุดๆ ที่สนามมิตรผล สเตเดี้ยม คุมจังหวะแดนกลางได้เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามที่มีดีกรีทีมชาติแทบทั้งแผงด้วยซ้ำไป มีโอกาสสับไกสวยจากนอกกรอบเกือบเป็นประตู เล่นได้อย่างสมดุลทั้งรุกและรับ ถือเป็นมดงานที่คอยปิดทองหลังพระจนทีม "ราชันมังกร" หยุดสถิติแพ้รวด 3 เกมได้สำเร็จด้วยการคว้าชัย
กองหน้า : ลอนซาน่า ดูมบูย่า (ตราด เอฟซี)
ความใหญ่ของหัวหอกทีมชาติกินี ปั่นป่วนแนวรับของ สุพรรณบุรี ที่ไม่มี อันแดร์สัน ดอส ซานโต๊ส ได้อย่างเห็นได้ชัด เกมนี้มีส่วนร่วมกับการทำเกมรุกอย่างต่อเนื่องและเหมาซัดคนเดียวถึง 2 ประตู ทำให้ตอนนี้ยิงได้รวม 4 ลูกขึ้นมารั้งรองดาวซัลโวไทยลีกเรียบร้อยแล้ว
กองหน้า : เปตาร์ ออร์ลันดิช (สุโขทัย เอฟซี)
ปลดล็อกได้เสียทีกับประตูแรกในไทยลีกจากลูกที่จุดโทษ ซึ่งน่าจะเรียกความมั่นใจได้มากโข เพราะจากนั้นลูกที่สองก็ตามมาติดๆ จากการโหม่งเล่นทางอย่างเหนือชั้น หัวหอกชาวมอนเตเนโกรใช้ความสูงใหญ่คอยเล่นงานแผงกองหลังของ การท่าเรือ ได้เป็นอย่างดีและเป็นคีย์แมนสำคัญที่ทำให้ "ค้างคาวไฟ" คว้า 3 แต้มมาครอง
กองหน้า : ลูเคี่ยน อเราโช่ (ชลบุรี เอฟซี)
หายเจ็บกลับมาก็พิสูจน์ให้เห็นทันทีว่าเขาคือกองหน้าที่ ชลบุรี จะขาดไปไม่ได้เป็นอันขาด ความเฉียบขาดในการจบสกอร์ทำให้ "ฉลามชล" เฉือนชนะ พีที ประจวบ ไปในเกมสุดระทึก 3-2 เรียกได้ว่าหากนัดนี้ไม่มีหัวหอกเลือดแซมบ้ารายนี้ ก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่า เจ้าถิ่นจะเก็บชัยชนะได้เช่นนี้หรือไม่
เฮดโค้ช : จักรพันธ์ ปั่นปี (ชลบุรี เอฟซี)
ถือว่าเซอร์ไพรส์ไม่น้อยในแมตช์นี้หลังจากเพิ่งเก็บได้เพียงแต้มเดียวใน 4 นัดแรก เกมนี้ "โค้ชโบ้" ตัดสินใจดร็อปผู้เล่นตัวหลักอย่าง วรชิต, สหรัฐ และ กฤษดา ที่เพิ่งกลับมาจากทีมชาติ และเลือกฟังเสียงวิจารณ์ด้วยการส่ง ซอ มิน ตุน เซนเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติเมียนมา กลับมาลงสนามเป็นตัวจริง แม้กระทั่งตัวสำรองก็เลือก สิตู อ่อง กราบซ้ายพม่าลงก่อนสตาร์ไทยหลายๆ คน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะมีส่วนร่วมกับประตูทั้ง 2 คน การตัดสินใจหลายๆ อย่างในเกมนี้เหมือนเป็นการวัดดวงด้วยว่าจะเวิร์คหรือไม่ เพราะหากยังไม่ได้ผลอีก ลำดับต่อไปอาจจะถึงสเต็ปที่ต้องเปลี่ยนแผนการเล่น หรือท้ายที่สุดอาจจะไม่มีโอกาสหน้าสำหรับตัวโค้ชอีกต่อไป ซึ่งเกมนี้ผลการแข่งขันรวมถึงรูปเกมก็พิสูจน์ให้เห็นว่า "โค้ชโบ้" ตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว