อีธาน แอมปาดู กับรูโหว่ของ เชลซี
โอเค ด้วยเกมที่เป็นตัวชี้วัดความเป็นความตายของฤดูกาลนี้ที่สิงห์บลูส์เอาชนะ สเปอร์ส ได้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โฟกัสของ แลมพาร์ด ก็คงอยู่ที่การเผชิญหน้ากับทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ นั่นแหละ
แต่ฟอร์มของดาวเตะทีมชาติเวลส์ในฐานะปราการหลังของ ไลป์ซิก นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ แลมพาร์ด จะต้องดูเขาด้วยความชื่นชม และเสียใจที่ตนเองมองข้ามเขาง่ายดายไปหน่อยในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
แอมปาดู ย้ายจาก เอ็กเซเตอร์ มายัง เชลซี เมื่อปี 2017 และผลงานของเขากับทีมเยาวชนก็ยอดเยี่ยมต่อเนื่องจนทะลุขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้ใน 2 ฤดูกาลถัดมา พร้อมสถิติลงสนามไป 17 นัดรวมทุกรายการ
กระนั้นก็ตาม ดาวเตะตัวรับอเนกประสงค์กลับถูกลดราคาลงในสายตาของ แลมพาร์ด ในช่วงหน้าร้อนที่แล้ว กลายเป็นถูกให้ความสำคัญน้อยกว่า ฟิคาโย่ โทโมรี่ ที่เคยร่วมงานกับกุนซือวัย 41 ปีมาก่อนสมัยคุม ดาร์บี้ เคาน์ตี้ เสียอีก
ไลป์ซิก เข้ามาเคาะประตู และ เชลซี ก็ปล่อยแข้งวัย 19 ปีออกไปด้วยสัญญายืมตัวหนึ่งปี
แม้ทีมจากเยอรมันจะยังไม่เคยให้โอกาสเขาได้ออกสตาร์ทตัวจริงในเวทีบุนเดสลีกา โดยมีโอกาสลงเล่นตัวสำรองเพียง 3 เกมเท่านั้นให้กับทีมรองจ่าฝูงในลีกสูงสุดเมืองเบียร์
แต่ แอมปาดู ก็ได้ลงเล่นตลอด 3 นัดหลังสุดในแชมเปี้ยนส์ลีก โดยเป็นตัวเริ่มต้นที่ 11 คนแรก 2 นัด
หนึ่งในเกมสำคัญก็คือแมตช์ที่ท็อตแน่ม ฮอทสปอร์ สเตเดี้ยม ซึ่งเขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง เนื่องจากก็คงรู้ว่าน่าจะไม่มีเกมไหนที่เหมาะสมกับการแสดงความประทับใจให้กับต้นสังกัดแม่ได้เห็นมากไปกว่านี้อีกแล้ว
จากความจริงที่ว่าเขาเองก็เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์มาก่อนหน้านี้ มันจึงหมายความว่า แอมปาดู มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในการครองบอล และสิ่งเหล่านั้นมันได้ฉายแสงออกมาในเกมกับไก่เดือยทอง
เขารับบทบาทปราการหลังตัวกลางจาก 3 เซนเตอร์แบ็ก ดังนั้นการผ่านบอลจึงมีความสำคัญไม่แพ้การเล่นเกมป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การคุมทีมในสไตล์ของ ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ด้วย
เขาตามประกบเหล่าแนวรุกของ สเปอร์ส ได้อย่างเหนียวแน่นราวกับเป็นกองหลังมากประสบการณ์จากอิตาลี จากนั้นก็แก้ไขสถานการณ์ และเป็นตัวออกบอลไปข้างหน้าเมื่อมีพื้นที่ว่างตรงกลางได้อย่างง่ายดาย
ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นฟอร์มการเล่นจากนักเตะดาวรุ่งซึ่งแสดงออกมาได้อย่างโดดเด่นที่สุด
จากระยะ 5 หลา ไปถึงการเล่นบอลยาว เขาแทบไม่มีความผิดพลาดในการผ่านบอลเลยตลอดทั้งเกม และจบ 90 นาทีที่นั่นด้วยสถิติผ่านบอลแม่นยำ 95% จากความพยายามทั้งหมด 97 ครั้ง (มากกว่าทุกคนในสนาม)
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เชลซี ผ่านเกมสำคัญมาด้วยรอยยิ้ม แต่ฟอร์มยอดเยี่ยมที่สุดของสิงห์บลูส์ในยุค แลมพาร์ด น่าจะต้องย้อนไปยังเดือนธันวาคมที่พวกเขาเอาชนะ สเปอร์ส 2-0 จาก 2 ลูกของ วิลเลี่ยน
เชลซี เล่นในระบบ 3 เซนเตอร์แบ็ก และมี เคิร์ท ซูม่า เป็นตัวจริงอยู่ตรงกลาง
แต่นับจากวันนั้น สิ่งต่างๆ ก็ดูจะถอยหลังเข้าคลองเหมือนกันสำหรับตัวของ แลมพาร์ด และทีมของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเล่นในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์
สิงห์บลูส์เก็บคลีนชีตได้แค่ครั้งเดียวจาก 9 เกมนับจากนั้น และก็ดูจะมีปัญหาในเรื่องความนิ่งของเกมรับ
สังเกตุได้ง่ายๆ พวกเขาต้องสลับสับเปลี่ยนนักเตะมาแล้วกี่คนต่อกี่คน กี่คู่ต่อกี่คู่จนตอนนี้ก็ยังหาสูตรสำเร็จได้ไม่ลงตัวเลย
ด้วยการมี 5 คลีนชีตจากทั้งหมด 27 นัดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ แอมปาดู อาจเป็นใครสักคนที่เหมาะสมกับการลงเล่นเป็นคู่พาร์ทเนอร์กับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์
แม้จะเพิ่งโชว์ฟอร์มได้ดีในเกมบิ๊กแมตช์ดังกล่าว แต่ซีซั่นนี้ก็ยังเป็นอะไรที่ยากสำหรับ แอมปาดู อยู่เหมือนกันกับการต้องนั่งสำรองส่วนใหญ่ในเยอรมัน ขณะที่กลุ่มก้อนจากอะคาเดมี่เช่นเดียวกับเขาอย่าง เมสัน เมาท์, แทมมี่ อบราฮัม และ โทโมรี่ ต่างพากันได้รับโอกาส
ทว่ากับฟอร์มของสิงห์บลูส์ที่สะดุดบ่อยครั้งกับปัญหาในเกมรับ ฟอร์มของ แอมปาดู ที่เล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบในเกมกับไก่เดือยทองแสดงให้ เชลซี เห็นถึงจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปของพวกเขา
สำหรับตัวของ แอมปาดู มันคงไม่มีทางไหนอีกแล้วที่จะสร้างความประทับใจให้ทั้ง เชลซี และแฟนๆ ของพวกเขาได้มากไปกว่าการเป็น 'แมน ออฟ เดอะ แมตช์' ในเกมกับ สเปอร์ส
และเขาก็ทำมันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
พาสต้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT