ยังต้องรอชัยชนะกันต่อไป
การเจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ถือว่าเป็นงานง่าย เมื่อพวกเขาคือทีมที่สื่อยกให้ว่าอาจจะเป็นทีมที่สามารถสอดแทรกมาอยู่ใน “ท็อป 6” ของตารางคะแนนได้ในซีซั่นนี้
แถมปีที่แล้วก็มาทำแสบด้วยการบุกชนะที่นี่ด้วย
เชลซี กลับมาใช้ระบบ 4-2-3-1 อีกครั้งเช่นเดียวกับเกมพรีเมียร์ลีกนัดแรกที่บุกไปพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากที่ปรับเล่น 4-3-3 ในเกมยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ กับ ลิเวอร์พูล
หน้าตาเปลี่ยนแค่ตำแหน่งเดียว เมสัน เมาท์ กลับมาเป็นตัวจริงแล้วถอด มาเตโอ โควาซิช ออก โดยประสานงานในแนวรุกกับ เปโดร โรดริเกซ และ คริสเตียน พูลิซิช ส่วนกองหน้ายังเป็น โอลิวิเยร์ ชิรูด์
มิดฟิลด์คู่กลางยังเป็นคู่หู เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กับ จอร์จินโญ่ ส่วนแนวรับชุดเดิมทั้ง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, คูร์ท ซูม่า และ เอแมร์ซอน ขณะที่ผู้รักษาประตูเป็น เกปา อาร์รีซาบาบาก้า
อีกหนึ่งข่าวดีก็คือการได้ วิลเลี่ยน หายเจ็บกลับมานั่งสำรองได้แล้ว
และเกมนี้แน่นอนว่าเป้าหมายของทีมคือการเก็บชัยชนะให้ได้เท่านั้น
ทัพสิงโตน้ำเงินครามเปิดตัวด้วยความดุดันทีเดียวและน่าขึ้นนำจังหวะที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ พักบอลแล้วไหลให้ เมสัน เมาท์ วิ่งมายิงเน้นๆแต่ติดเซฟ คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ถือเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเลย
แต่แค่อึดใจเดียวทีมก็มาขึ้นนำจนได้จากจังหวะที่ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ เล่นบอลหน้าเขตโทษตัวเองเจอความขยันของ เมสัน เมาท์ มาฉกไปยิงอย่างน่าปรบมือให้
ต้องโทษทางฝั่ง เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ไปเล่นประมาทกันเอง พร้อมกับต้องชมฝั่งเจ้าถิ่นที่บีบพื้นที่ดี และ เมาท์ ก็อ่านเกมได้อย่างยอดเยี่ยม
แต่หลังจากได้ประตูเกมของ เชลซี ก็มีเนือยลงไปเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าการลงเล่นติดๆในช่วงกลางสัปดาห์แถมต้องเดินทางไปถึงตุรกีบวกกับต้องเล่นเต็ม 120 นาทีส่งผลเหมือนกัน
เจ้าบ้านเองก็เกือบจะแจกของขวัญให้ผู้มาเยือนในจังหวะที่ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ไปจับบอลลั่นโดน เจมี่ วาร์ดี้ มาปั๊มบอลยังดีที่ลูกบอลมาเข้าทาง คูร์ท ซูม่า ที่อยู่ตรงนั้นพอดี
อีกอย่างที่ชัดเจนเลยของผู้มาเยือนก็คือการขาด เบน ชิลเวลล์ ทำให้การขึ้นเกมทางซ้ายไม่มีให้เห็น ภาระหนักไปตกอยู่ทางขวาของ ริคาร์โด้ เปเรยร่า ที่จุดแข็งคือความเร็ว แต่จุดอ่อนคือความแน่นอนที่ยังหวังผลได้ยากอยู่
คริสเตียน ฟุคส์ ฝีเท้าดีแต่ในวัย 33 ปีแล้วจะให้เติมหนักๆคงไม่ไหว และการต้องเผชิญหน้ากับทั้ง เปโดร โรดริเกซ และ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ทำให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส คงกำชับมาด้วยว่าไม่ต้องเติมเกมมากนัก
ถือเป็นโชคดีของฝั่ง เชลซี ไปโดยปริยาย
ออกสตาร์ทครึ่งหลังเกมของ “สิงห์บลูส์” ดูขาดกำลังเหมือนช่วงท้ายครึ่งแรก ปล่อยให้ เลสเตอร์ ซิตี้ กดดันเข้าใส่อย่างต่อเนื่องจนสุดท้ายก็มาโดนทีเด็ดจากลูกเตะมุมที่ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ ที่ทำพลาดให้ทีมเสียประตูมาโหม่งเต็มหัวให้ทีมตีเสมอได้สำเร็จ
เหลือเชื่อที่ลูกนี้ไม่มีใครตามประกบ เอ็นดิดี้ เลย จนถึงจังหวะเทคตัวขึ้นโหม่ง คนที่เข้ามาเบียดกลับเป็น เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่แทบจะเป็นคนที่ตัวเล็กที่สุดในทีม แสดงให้เห็นถึงการวางแผนเล่นเกมรับจังหวะลูกตั้งเตะที่เป็นปัญหาซะแล้ว
เพราะที่ผ่านมาในจังหวะโอเพ่น เพลย์ แข้งเจ้าถิ่นช่วยกันเล่นได้เป็นอย่างดีมาตลอด โดยเฉพาะการประสานงานของสองเซนเตอร์และกองกลาง
พอเสียประตูเกมรวนทันทีและเกือบโดนเพิ่มอีกด้วย ยังดีที่จังหวะได้กดเน้นๆของ เจมส์ แมดดิสัน หน้าประตูข้ามคานออกไปซะก่อน
ถ้าครึ่งแรกเป็นเกมของ เชลซี ครึ่งหลังก็ต้องบอกว่าเป็นเกมของ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่น่าได้ประตูอยู่หลายต่อหลายครั้ง หากคมกว่านี้อีกหน่อยเจ้าถิ่นมีโอกาสโดนเพิ่มอีก 2-3 เม็ดเลย
การลงมาของ วิลเลี่ยน และ มาเตโอ โควาซิช รวมถึงคนที่ลงมาก่อนหน้าอย่าง แทมมี่ อบราฮัม ไม่ได้ลงมาช่วยให้เกมของทีมดีขึ้น โดยเฉพาะในรายของตัวรุกทีมชาติบราซิลที่ลงมาทำเกมเสียซะมากกว่า เพราะดูจากการเล่นแล้วเหมือนว่าร่างกายยังไม่พร้อมสักเท่าไร
เกมนี้อาจจะมองได้ว่า เชลซี ล้าจากเกมยุโรปกลางสัปดาห์ ซึ่งถ้าดูเกมแล้วก็น่าจะเป็นแบบนั้น หลังจากที่เปิดฉากลุยแหลกตั้งแต่ต้นเกมแล้วจากนั้นก็ค่อยๆแผ่วลงไป
ทรัพยากรในทีมก็มีค่อนข้างจำกัด ตัวรุกที่ดูจะเป็นความหวังอย่าง รูเบน ลอฟตัส-ชีค และ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ยังเจ็บ ทำให้การแก้เกมก็มีขอบเขตอยู่
เกมถัดไปทีมจะบุกเยือนทีมน้องใหม่อย่าง นอริช ซิตี้ ซึ่งก็น่าจะเป็นโอกาส (อีกครั้ง) ที่ เชลซี จะเก็บชัยชนะเป็นเกมแรกภายใต้การคุมทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด
ถึงตอนนี้คงต้องบอกว่า "เป็นแฟนสิงห์ต้องอดทน" กันหน่อยละกัน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT