บิ๊กแม็ตช์ 'สิงห์หรือหงส์'
ล่าสุดทีมเพิ่งโดน บาเลนเซีย บุกมาเก็บชัยชนะถึงถิ่นในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คงทำให้เสียกำลังใจไปพอสมควร เพราะทีมมีโอกาสตีเสมอแต่ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ดันไปยิงจุดโทษไม่เข้า
กับบททดสอบอีกครั้งของทัพ "สิงห์บลูส์" ที่จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกอย่าง ลิเวอร์พูล ในเกมวันอาทิตย์นี้
"หงส์แดง" ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เองก็เพิ่งจะพบกับความพ่ายแพ้มาในบอลยุโรป ดังนั้นเกมนี้คงเป็นการวัดกันว่าใครจะฟื้นก่อนกัน
ล่าสุดเพิ่งฟาดฟันกันมาสดๆร้อนๆในยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ที่จบลงด้วยการเสมอกันไป 2-2 ใน 120 นาที ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะดวลเป้าเอาชนะไป 5-4 คว้าแชมป์ไปครอง
คนที่ยิงพลาดของฝั่ง เชลซี ไม่ใช่ใครที่ไหน แทมมี่ อบราฮัม ที่ผลงานร้อนแรงเหลือเกินในช่วงหลังนั่นเอง
เกมวันอาทิตย์คงเป็นเหมือนการล้างตาของฝั่ง เชลซี ซึ่งการเล่นในบ้านจะเป็นข้อได้เปรียบรึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะในปีนี้ทีมยังไม่ชนะใครในบ้านเลยกับเกมอย่างเป็นทางการ
ส่วนมีอะไรที่เป็นเรื่องที่น่าจับตามองกันบ้างก็ลองไปดูกัน
สแตมฟอร์ด บริดจ์ สังเวียนล่าสถิติของ เจอร์เก้น คล็อปป์
ถ้า ลิเวอร์พูล สามารถบุกมาเก็บชัยชนะได้ในเกมวันอาทิตย์, เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเป็นผู้จัดการทีมหงส์แดงคนแรกที่พาทีมเก็บชัยชนะที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ได้ถึง 3 หนในยุคพรีเมียร์ลีก
นับตั้งแต่นายใหญ่ชาวเยอรมันเข้ามาคุมทีมเมื่อปี 2015 พาทีมบุกมาเยือนที่นี่แล้ว 4 ครั้งในเกมลีก โดยชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 1
นอกจากว่ามันจะมีโอกาสเป็นไปได้อยู่แล้ว หากเจาะลึกลงไปในสถิติของเทรนเนอร์ที่คุมทีมเจอกับ ลิเวอร์พูล ครั้งแรกช่วงหลังไม่ชนะเลยทั้ง เมาริซิโอ ซาร์รี่, อันโตนิโอ คอนเต้, ราฟาเอล เบนีเตซ และ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ
สำหรับคนสุดท้ายที่คุมทีมเจอกับ "หงส์แดง" ครั้งแรกแล้วชนะก็คือ คาร์โล อันเชล็อตติ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2009
ยิ่งไปกว่านั้น เชลซี ชนะแค่เกมเดียวเท่านั้นจาก 9 นัดหลังในลีกที่เจอกับทีมแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรป (เสมอ 5 แพ้ 3) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2018 ที่ทีมเอาชนะไปได้ 1-0 จากประตูชัยของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์
กับปัจจุบันที่ ลิเวอร์พูล กำลังอยู่ในฟอร์มที่สุดยอดไม่แพ้ใครในลีกมาแล้ว 22 เกม นานที่สุดในการเล่นพรีเมียร์ลีก และแพ้แค่เกมเดียวเท่านั้นจาก 44 เกมหลังในลีกสูงสุด
น่าสนใจว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่กำลังตามหาชัยชนะในบ้านของการคุมทีมจะเล่นแบบไหนเมื่อต้องเจอกับทีมที่มีเกมรุกที่ดุดันโดยเฉพาะในจังหวะสวนกลับ เพราะแฟนบอลคงไม่ปลื้มนักถ้าทีมจะมาเล่นเกมรัดกุมทั้งที่เล่นในบ้าน
และก็คงไม่แฮปปี้อีกนั่นแหละถ้าทีมลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อีกครั้ง
แทมมี่ อบราฮัม VS โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
แทมมี่ อบราฮัม กู้คืนความมั่นใจหลังการยิงจุดโทษพลาดในเกมยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ด้วยการกด 7 ประตูจาก 3 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ซึ่งในเกมล่าสุดกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน เขาจัดการทำแฮตทริคได้อย่างยอดเยี่ยม
นักเตะคนล่าสุดที่ยิงได้อย่างน้อยเกมละ 2 ประตูติดต่อกันถึง 4 เกม ก็มีความเกี่ยวข้องกับเกมนี้ นั่นก็คือ หลุยส์ ซัวเรซ อดีตนักเตะของ ลิเวอร์พูล นั่นเอง ที่ทำเอาไว้เมื่อเดือนธันวาคม 2013
มาดูที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ทำได้แค่ 2 ประตูเท่านั้นในลีกฤดูกาลนี้, แม้ว่าจะลงสนามไปแล้ว 400 นาที ซึ่งมากกว่า แทมมี่ ที่เล่นไป 331 นาที
กองหน้าทีมชาติบราซิลหาโอกาสพังประตูได้ถึง 19 ครั้ง มากกว่า แทมมี่ ที่หาจังหวะจบสกอร์ 15 หน, นอกจากนี้ ฟีร์มิโน่ ยังสัมผัสบอลในเขตโทษมากกว่าที่ 36 ต่อ 21 ครั้ง แต่เขามีจำนวนประตูที่เป็นรองสองแนวรุกเพื่อนร่วมทีมทั้ง ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (4 ประตูเท่ากัน)
แต่ในเรื่องของการสร้างโอกาสพังประตูนั้น ฟีร์มิโน่ ชัดเจนกว่ากับการแอสซิสต์ไปแล้ว 3 หนและสร้างโอกาสทำประตูไป 5 ครั้ง ขณะที่ แทมมี่ ยังไม่ได้สร้างโอกาสให้เพื่อนเลย หรือจะบอกว่ารอยิงอย่างเดียวเท่านั้น
ก็ถือว่ามีดีกันคนละแบบ อยู่ที่ว่าทีมจะใช้ประโยชน์จากนักเตะตัวเองสูงสุดจากการเล่นแบบไหน
ผลงานในซีซั่นนี้
ชีวิตของ เชลซี ในซีซั่นนี้ไม่ง่ายเลยเมื่อออกสตาร์ตเกมแรกก็บุกไปโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถล่มยับเยินมา 0-4 เล่นเอาแฟนสิงโตน้ำเงินถึงกับกุมขมับไปตามๆกัน
"สิงห์บลูส์" ยังทำผลงานได้น่าผิดหวังต่อในเกมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นเกมแรกในรังของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่โดนผู้มาเยือนไล่กระหน่ำอย่างหนักในครึ่งหลัง แต่ยังรอดมาได้ด้วยผลเสมอ 1-1 ก่อนเอาชนะ นอริช ซิตี้ 3-2 ในการไปเยือน
แต่อีกครั้งที่กลับมาเล่นในบ้านเจอทีมน้องใหม่อย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมออกนำสองประตู แต่สุดท้ายโดนตามตีเสมอ 2-2 ก่อนจะมาเอาชนะ วูล์ฟส์ 5-2 ในเกมล่าสุด
ด้าน ลิเวอร์พูล ยังคงโชว์ผลงานได้อย่างดีเยี่ยมสมฐานะทีมเต็งแชมป์เมื่อไล่กวาดชัยชนะมารวดตั้งแต่เกมแรกกับ นอริช ซิตี้ เรื่อยมากับ เซาธ์แฮมป์ตัน, อาร์เซน่อล, เบิร์นลี่ย์ และ นิวคาสเซิ่ล ในเกมล่าสุด
"หงส์แดง" ยังคงความเหนียวแน่นในเกมรับเมื่อเสียไปเพียง 4 ประตู น้อยที่สุดในลีก โดยเฉพาะนอกบ้านที่เสียแค่ลูกเดียวเท่านั้น ส่วนเกมรุกกดไป 15 ลูกเป็นรองแค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (16 ลูก) แค่ทีมเดียว
ถ้ามองในภาพรวมก็คงต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล เหนือกว่าในเรื่องของตัวเลขในซีซั่นนี้
สถิติเจอกันที่ลอนดอน
ลิเวอร์พูล บุกมาเยือนที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ทั้งหมด 27 ครั้งในพรีเมียร์ลีก และบุกมาเก็บชัยชนะได้เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นจาก 16 ครั้งแรก
แต่ในช่วง 11 เกมหลังสุดนั้น "หงส์แดง" มีสถิติที่เหนือกว่าเจ้าถิ่นด้วยการบุกชนะ 5 , เสมอ 3 และแพ้ 3 ซึ่งนับเฉพาะผลงานของ เจอร์เก้น คล็อปป์ บุกมาเยือนที่นี่ 4 หนพาทีมชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 1
อีกหนึ่งสถิติที่น่าสนใจก็คือ ลิเวอร์พูล ยิงไม่ได้แค่เกมเดียวเท่านั้นจาก 10 เกมหลังที่มาเยือนที่นี่ แต่ เชลซี ก็ยิงไม่ได้แค่นัดเดียวเช่นกันจาก 20 เกมหลังที่เจอกันในทุกรายการ
แต่หากนับสถิติโดยรวมทั้งสองทีมต้องการว่าสูสีสุดๆจาก 14 เกมหลังแบ่งกันชนะทีมละ 3 หน และจบลงด้วยการเสมอ 8 เกม
ส่วนเรื่องการยิงประตูนั้นทั้งสองทีมมีช่วงเวลาในการพังประตูที่ดีที่สุดในช่วงเดียวกันนั่นก็คือช่วงนาทีที่ 30-45 ซึ่งทาง เชลซี ทำได้ 4 ลูก คิดเป็น 36.4% ของประตูที่ทีมทำได้ในฤดูกาลนี้ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ 5 ประตู คิดเป็น 33.3% ของจำนวนประตูที่ทีมทำได้
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT