ครองบอล 70 เปอร์เซ็นต์, โอกาสจบสกอร์ 19 ครั้ง, เตะมุมอีก 10 หน สุดท้ายลงเอยด้วยความพ่ายแพ้แบบทำประตูไม่ได้
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เชลซี ในเกมที่บุกไปพ่ายให้กับ นิวคาสเซิ่ล 0-1 ชนิดที่ควรจะมีแต้มติดมือแต่ไปโดนเจาะตาข่ายในนาทีที่ 90+4
เรียกได้ว่าเสียประตูก็แพ้ไปเลย
นั่นทำให้ทีมชวดโอกาสที่จะทำแต้มทิ้งห่างออกไปสำหรับการแย่งพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลนี้ หลังจากที่สองคู่แข่งตัวอันตรายทั้ง อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส ต่างพลาดด้วยกันทั้งคู่
ลามมาจนถึงคู่แข่งที่ตามมาอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็บุกไปแพ้ ลิเวอร์พูล ด้วย
การจัดทีมหากดูรายชื่อนักเตะที่เจ็บอย่าง มาร์กอส อลอนโซ่, รูเบน ลอฟตัส-ชีค และ คริสเตียน พูลิซิช ต้องบอกว่านักเตะที่ลงสนามถือว่าเป็นแข้งชุดใหญ่ที่ทีมมีอยู่เลย
เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ยืนผู้รักษาประตู แบ็คขวาตอนนี้เป็น รีซ เจมส์ ที่พุ่งขึ้นมากลายเป็นตัวหลักไปแล้วโดยที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ขยับออกไปทางซ้าย ส่วนเซนเตอร์ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ คือตัวหลัก อีกคนเกมนี้เลือก อันเดรียส คริสเตนเซ่น เป็นคู่ขา
มิดฟิลด์วาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่ และ เมสัน เมาท์ เป็นสามประสาน ส่วนแนวรุก วิลเลี่ยน กับ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ทำเกมริมเส้นโดยมี แทมมี่ อบราฮัม เป็นตัวเป้า
ดูเหมือนเกมจะมีความยืดหยุ่นที่ระบบการเล่นสามารถขยับปรับเปลี่ยนได้แล้วแต่สถานการณ์ไม่ว่าจะ 4-3-3, 4-2-3-1 หรือจะขยับไปเป็น 3-5-2 เลยก็ได้
แฟนบอลที่นั่งดูเกมอยู่ โดยเฉพาะสาวก "สิงห์บลูส์" สามารถเดารูปแบบการเล่นของทีมตัวเองได้ไม่ยาก ครองบอลบุกเข้าใส่ เน้นการเล่นสั้นเป็นหลัก การที่มี รีซ เจมส์ ลงสนาม อาจจะเพิ่มความดุดันทางขวาและการเปิดบอลเข้าเขตโทษมากขึ้น แต่เมื่อข้างหน้าเป็น แทมมี่ อบราฮัม โอกาสที่จะเข้าเป้าก็ถือว่าค่อนข้างจำกัด
ตรงข้ามกับ นิวคาสเซิ่ล ที่บุกน้อยแต่หนักเกือบได้ประตูจังหวะโหม่งเต็มหัวของ โชลินตอน ที่บอลไปชนคานอย่างน่าเสียดาย
ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้เห็นเลยว่า "สาลิกาดง" มีทีเด็ดที่จะเล่นงานได้ และคู่เซนเตอร์ที่สูงใหญ่ของ เชลซี ต้องระวังให้มาก
เกมรุกทางริมเส้นทางสิงโตน้ำเงินอันตรายไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่จังหวะสุดท้ายไม่สามารถส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ท ที่ได้หลุดไปยิงมุมแคบ หรือลูกโหม่งคนเดียวของ เมสัน เมาท์ ก็ข้ามคานออกไป
การที่ครึ่งแรกทีมมีโอกาสลุ้นและรูปแบบของเกมก็ถือว่าไม่เลว ทำให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ใครดูเกมก็คิดว่าตอนนี้อยู่ที่ เชลซี จะทำประตูได้เมื่อไรเท่านั้น
แต่หลังจากที่เล่นไปเล่นมาแล้วดูจะเริ่มเจาะไม่ได้ นักเตะเริ่มหันมายิงไกลอยู่เรื่อยๆทำให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เลือกเอา เมสัน เมาท์ ออกแล้วส่ง รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่พอมีทีเด็ดในเรื่องแบบนี้ลงมา
เกมของ "สิงห์บลูส์" กระเตื้องขึ้นมาทันตาเห็นและมามีลุ้นประตูเริ่มจากจังหวะที่ จอร์จินโญ่ ไหลบอลให้ รอสส์ บาร์คลี่ย์ จะเล่นชิ่งบอลโดน ฌอน ลองสตาฟฟ์ สะกิดบอลปลิ้นเข้าเขตโทษตัวเอง แทมมี่ อบราฮัม แตะหลบ มาร์ติน ดูบราฟก้า แล้วพยายามจะยิงเร็วแต่จังหวะได้บอลเลยหลุดไป
แฟร้งค์ แลมพาร์ด ขยับเปลี่ยนตัวคนที่สองเอา เอแมร์ซอน ลงเล่นแทน รีซ เจมส์ พร้อมกับขยับเปลี่ยนให้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ไปอยู่ทางขวาตามถนัด ก่อนที่ มิชี่ บาตชูอายี่ จะถูกส่งลงมาแทน แทมมี่ อบราฮัม
กลายเป็นว่าการเปลี่ยนตัวของ เชลซี เป็นการเปลี่ยนแบบตำแหน่งต่อตำแหน่ง ไม่ได้มีอะไรที่แปลกประหลาด ซึ่งเข้าใจว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไม่มีอะไรต้องเสี่ยงเพราะสกอร์ไม่ได้ตามหลัง และรูปเกมก็เหนือกว่าแทบทุกทาง
อย่างแต่อย่างว่าฟุตบอลลูกกลมๆอะไรก็เกิดขึ้นได้ในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายที่แข้ง เชลซี ตามประกบช้านิดเดียวปล่อยให้ อัลแล็ง แซงต์-มักซิแมง ได้เปิดบอลแบบไม่มีตัวประกบบอลมาเข้าหัว ไอแซ็ค เฮย์เด้น โหม่งบอลตกพื้นผ่าน เกปา อาร์รีซาบาลาก้า เข้าไป
ลูกนี้เรียกได้ว่าต้องรับผิดชอบกันถ้วนหน้าไล่ตั้งแต่คนที่ต้องตามประกบ แซงต์-มักซิแมง รวมถึงแนวรับที่ปล่อยให้คู่แข่งโหม่งเข้าไปง่ายๆ และจากภาพช้าบอลไม่ได้ไกลตัว เกปา เลย แต่ก็เข้าใจว่ามันจ่อมาก บางครั้งผู้รักษาประตูก็อาจจะมีเหวอบ้างว่าบอลจะมาทางไหน
เป็นความพ่ายแพ้ที่น่าเจ็บใจและน่าผิดหวังในขณะเดียวกัน ด้วยรูปเกมที่เหนือกว่าแบบหมดจด แต่กลับทำประตูไม่ได้แถมถึงขั้นกลับบ้านมือเปล่า
ดูเหมือนว่าคู่แข่งจะจับทางรูปแบบการเล่นของ เชลซี ง่ายเกินไป การขึ้นเกมทางขวาของ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่พยายามเล่นกับ รีซ เจมส์, วิลเลี่ยน ที่ทักจะเลี้ยงบอลตัดเข้ากลางอยู่เสมอ, บอลมักจะมาตั้งที่ จอร์จินโญ่ เป็นคนกำหนดจังหวะ นั่นเป็นสิ่งที่ทำใช้มาตั้งแต่เปิดฤดูกาล
ถ้าเวิร์คมันก็ดี แต่ถ้าไม่มันก็ออกมาอย่างที่เห็น
กองหน้าทั้ง แทมมี่ อบราฮัม และ มิชี่ บาตชูอายี่ ถ้าจะบอกว่าทั้งคู่มีสไตล์การเล่นที่คล้ายกันก็คงไม่เกินไปนัก เชลซี อาจจะต้องหากองหน้าที่มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ในการชนกับแนวรับคู่แข่งเปิดทางให้พวกตัวริมเส้นได้
แบ็คขวาเป็นเด็กขึ้นมาใหม่ที่ไฟแรง, ส่วนทางซ้ายขยับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ไปยืน โอเคว่ากัปตันทีมเล่นได้ แต่ไม่ได้เค้นศักยภาพที่ดีที่สุดออกมา โดยเฉพาะยามเปิดเกมบุกใส่คู่แข่ง
ในตำแหน่งเซนเตอร์ได้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ กลับมาซึ่งเป็นตัวความหวังว่าจะเข้ามาทำให้ทีมแกร่งขึ้นหลังเสียประตูง่ายในช่วงต้นซีซั่น แตต่ดูเหมือนว่าจะหวังผลสูงเกินไปหน่อย 7 เกมนับตั้งแต่หายกลับมาในลีก เชลซี แพ้ไปถึง 3 และเสียไป 6 ลูก
กับ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ที่ทำท่าว่าจะกลายเป็นส่วนเกินและโดนปล่อยออกจากทีมกลับขยับขึ้นมาเป็นตัวหลักในสองเกมหลัง ส่วน คูร์ท ซูม่า เป็นแค่สำรองในสองเกมหลัง ส่วน ฟิคาโย่ โทโมรี่ หายหน้าจากทีมเป็นเกมที่สามติดต่อกัน
ดูเหมือนว่าเมื่อเวลาผ่านไปการขาดตัวทีเด็ดอย่าง เอแด็น อาซาร์ เริ่มส่งผลกับทีม บ่อยครั้งเมื่อฤดูกาลที่แล้วที่ทีมเจอกับเกมแบบนี้ก็ได้สตาร์ทีมชาติเบลเยี่ยมนี่แหละที่ใช้ความสามารถเฉพาะตัวพาทีมเอาตัวรอดคว้าชัยชนะมาได้อยู่เสมอ
นักเตะในทีมตอนนี้ต้องยอมรับว่ายังไม่มีใครที่จะทำได้แบบนั้น นั่นคือเหตุผลที่ทีมควรจะมีแนวรุกเข้ามาเสริมเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก็ต้องเข้าใจว่าในช่วงเดือนมกราคมนี้คงยากที่จะได้ตัวดีๆมา อาจจะต้องว่ากันอีกครั้งในช่วงซัมเมอร์เลย
ซีซั่นนี้ก็ประคองกันไปให้อยู่รอดคว้าพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกให้ได้ละกัน